Thursday, October 8, 2009

"ยาเม็ดกินลดความอ้วน" มีวางจำหน่ายแล้วในรูปแบบยาสามัญประจำบ้าน

อ้าว... สาวๆ ตุ้ยนุ้ยฟังแล้ว คงเตรียมหาซื้อกันยกใหญ่ กับ "ยาเม็ดลดความอ้วน" โดยไม่ต้องคอยควบคุมอาหารการกินอย่างเดียว มีวางขายแล้วตามร้านขายยาทั่วไปในอังกฤษ

ยาลดน้ำหนักชื่อว่า Alli ถูกวางจำหน่ายในรูปแบบยาสามัญประจำบ้าน ที่สามารถจำหน่ายได้ทั่วไปโดยไม่ต้องให้แพทย์ออกใบสั่งยา ซึ่งวางคู่กับหนังสือคู่มือการบริโภคอาหารในปริมาณที่เพียงพอ
การออกกำลังกาย และการนับแคลอรี

ยา ออกฤทธิ์โดยการขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึมไขมัน เหมาะกับผู้ที่มีดัชนีมวลกายเกิน 28 ขึ้นไป หากผู้ที่มีน้ำหนักเกินสนใจอยากที่จะซื้อมันมากิน จะเสียค่ายาประมาณเดือนละ 3,000 บาท

บริษัทยาแกลกโซสมิธไคลน์ (GlaxoSmithKline) ผู้ผลิตอ้างว่า.. ในการทดลองยาตามสถานพยาบาล ยาได้ช่วยให้ลดน้ำหนักตัวลงได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง ยิ่งกว่าการควบคุมอาหารแต่เพียงอย่างเดียว ผู้ที่ใช้ยานี้หากยังขืนกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันอยู่อีก จะต้องประสบกับอาการอันไม่พึงประสงค์ ตั้งแต่ท้องร่วง และเกิดก๊าซในกระเพาะ

ทางสมาคมแพทย์วิทยาลัยหลวงของอังกฤษ ได้แนะนำว่า... เนื่องจากหลายคนอาจจะเกิดอาการข้างเคียงที่ทรมานมาก จึงขอแนะนำให้ใช้ยา โดยควรจะขอคำแนะนำจากแพทย์เสียก่อน

แหล่งที่มา:
http://www.thairath.co.th/content/tech/3975
[ ... ]

ระวัง! ผู้ชายที่ดูรูปโป๊บ่อยๆ จะทำให้สมองชินชา

หากเพื่อนๆ เป็นคนที่ชอบดูรูปประเภทแบบว่า.. วับๆ แวมๆ ของสาวๆ ที่นุ่งน้อยห่มน้อยอยู่บ่อยๆ
ระวัง!!! จะกลายเป็นคนที่โรคสมองชินชาได้นะจ๊ะ

ทางนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยปรินซ์ตันที่อเมริกา ได้พบว่า.. การได้ที่เห็นรูปผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยบ่อยๆ ทำให้สมองผู้ชายบางคนชินชา เมื่อมองเห็นแล้วรู้สึกเหมือนกับเห็นเป็นสิ่งของธรรมดาไปซะงั้น

จากการศึกษาทดลองกับผู้ชาย โดยให้ดูรูปสาวๆ ในชุดอาบน้ำบิกินี พร้อมกับใช้เครื่องตรวจสแกนสมองไปด้วย พบว่าในผู้ชายบางคนจะมีสมองส่วนที่ แสดงปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าที่มีต่อสิ่งของจนทำให้ตื่นเต้น แต่กับผู้ชายคนที่รู้กันว่าเป็นคนเจ้าชู้ ซึ่งแต่ก่อนเมื่อได้เห็นรูปโป๊ ส่วนของสมองเคยแสดงความตื่นเต้น แต่คราวนี้กลับนิ่งเฉย

อาจารย์ซูซานกล่าวว่า... เครื่องตรวจสแกนสมองแสดงให้เห็นว่า ปฏิกิริยาของผู้ชายที่มีต่อรูปภาพ เป็นปฏิกิริยาของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งของ ไม่ได้เป็นปฏิกิริยาที่มีต่อมนุษย์ที่เป็น 3 มิติเต็มตัวเลย” เป็นเพราะความเคยชิน ซึ่งต้องโทษที่สังคมถูกถล่มปูพรมด้วยรูปสาวโป๊ๆ อยู่อย่างไม่ขาดสาย ทำให้ปฏิกิริยาของสมองของผู้ชายบางคน ที่มีความรู้สึกอย่างที่มีกับมนุษย์เฉื่อยชาลงไป และเทียบได้ว่า.. เป็นแบบเดียวกับความรุนแรงที่พบเห็นกันอยู่ ในทีวี ก็เคยมีการศึกษาพบว่า.. "ทำให้คนจะรู้สึกชินชา กับเรื่องร้ายแรงต่างๆ ได้เช่นกัน"

จึงพูดได้ว่า.. ผู้ชายที่ดูบางคนอาจเกิดความชิน เมื่อเห็นภาพโป๊เหล่านี้ เพราะคิดว่าเป็นแค่สิ่งของชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นแค่ภาพไม่ใช้ผู้หญิงตัวจริงๆ ที่เป็น 3 มิติ สามารถจับต้องลูบคลำเนื้อหนังได้ สมองเลยไม่สั่งการให้เกิดความตื่นเต้น หรือรู้สึกใดๆ

แหล่งที่มา:
http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=128217
[ ... ]

เสริมเต้าด้วย "สเต็มเซลล์" เพิ่มอึ๋ม!! แบบธรรมชาติเหมือนนมจริง

สาวอกเล็กเตรียมเฮ... เสริมนมให้บึ้ม!! เป็นแบบธรรมชาติไม่ต้องพึ่งของเทียม อย่างซิลิโคนที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน หลังพบเทคนิคพิเศษเสริมหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นด้วยสเต็มเซลล์

โรงพยาบาล พรินเซสเกรซ ประเทศอังกฤษ จะเปิดให้บริการเสริมหน้าอกให้ใหญ่ขึ้น และดูเป็นธรรมชาติแก่ผู้สนใจด้วยการใช้สเต็มเซลล์ ซึ่งเทคนิคนี้คิดค้นโดยแพทย์ชาวญี่ปุ่น

วิธีการคือ นำสเต็มเซลล์จากไขมันบริเวณพุง หรือต้นขา นั้นนำมาเลี้ยงในหน้าอก ซึ่งจะทำให้หน้าอกใหญ่เป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนกับการเสริมอกด้วยซิลิโคนที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน แต่ข้อจำกัดคือ การทำสเต็มเซลล์ครั้งหนึ่งสามารถทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นแค่ 1 คัพเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเทคนิคก้าวหน้ามากกว่านี้ก็น่าจะทำให้หน้าอกขยายมากกว่านั้นได้

ศ. คีฟาห์ ม็อกเบล กล่าวว่า "เราใช้วิธีนี้ในการเสริมหน้าอกให้กับผู้ป่วยที่ต้องตัดหน้าอกออกเพราะโรค มะเร็ง ซึ่งมีชาวอังกฤษเข้ารับการผ่าตัดหน้าอกโดยใช้สเต็มเซลล์แล้วสิบกว่าคน แต่เรากำลังจะเริ่มทดลองใช้วิธีนี้ในคนปกติโดยได้อาสาสมัครแล้ว 30 คน และปลายปีนี้น่าจะเปิดให้บริการผ่าตัดให้กับผู้สนใจได้ คาดว่าค่าใช้จ่ายน่าจะอยู่ที่ 3.25 แสนบาท"

การเสริมหน้าอกด้วยสเต็มเซลล์นั้นดูเป็นธรรมชาติ เนื่องจากเนื้อเยื่อมีความอ่อนนุ่มเช่นเดียวกับหน้าอกส่วนอื่น ขณะที่ซิลิโคนมีความแข็ง และใช้ไปนานๆ ต้องเปลี่ยนทั้งยังมีโอกาสรั่วได้

แหล่งที่มา:
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNVEEyTURVMU1nPT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBd09TMHdOUzB3Tmc9PQ==
[ ... ]

สาวสวย กับผักและผลไม้ทั้ง 7

เคยแต่ได้ยินนิทาน.. สโนไวท์กับคนแคระทั้ง 7
ตามนิทานคนแคระช่วยสโนไวท์ได้ค่ะ แต่ไม่ได้ช่วยให้สวยขึ้นนะคะ
เพราะความสวยนั้น หากไม่มีติดตัวมาแต่เกิด ก็สร้างขึ้นด้วยตัวเองได้
ถึงหน้าไม่สวย แต่ผิวสวย และดูอ่อนกว่าวัยย์ก็ยังดีค่ะ (^0^)

แล้วผักและผลไม้จะช่วยสาวสวยได้อย่างไร??!! ก็ด้วยการกินไงคะ
อาหารการกินช่วยเราได้นะคะ ดังคำกล่าวที่ว่า..
You are what you eat (หวังว่าทาโกะคงจะไม่ได้จำผิดนะ ^^'')
แปลง่ายๆ ว่า คุณกินอะไรคุณก็เป็นอันนั้นแหล่ะ กินดีก็ส่งผลดีแก่ตัวเอง
กินดีไม่ใช่กินแพง หากแต่เป็นการกินของมีประโยชน์ต่อร่างกายต่างหาก
ซึ่งผักและผลไม้ทั้ง 7 ที่ทาโกะจะแนะนำในวันนี้สามารถช่วยให้ผิวของเพื่อนๆ ดูดี
(มีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง สวยสด งดงาม) และช่วยชะลอความแก่ได้เป็นอย่างดีค่ะ

1. ลูกพรุน (Prunes)
โปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ แล้วยังช่วยให้ผิวของเพื่อนๆ มีเลือดฝาด
(ออกแนวหน้าตาผ่องใส และแก้มแดงนั่นล่ะ) หากทานลูกพรุนสดๆ เป็นประจำละก็..
จะเห็นผลปากแดง แก้มแดง โดยไม่ต้องพึ่งสำอางค์เลยทีเดียว
แต่ระวังหน่อยนะคะ เพราะว่าลูกพรุนนั้น มีฤทธิถ่ายท้องด้วยค่ะ

2. ถั่ว
อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี และยังมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูง
ซึ่งจะช่วยให้เพื่อนๆ อิ่มเร็ว และอิ่มนาน ทำให้ความอยากอาหารลดลง
เหมาะกับเพื่อนๆ ที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก
แต่ระวังหน่อยนะคะ เพราะว่าถั่วนั้น มีฤทธิให้ผายลม (ปู้ดๆ~)

3. บรอคโคลี่
อุดมไปด้วยซีลีเนียม ซึ่งจะช่วยให้ผิวของเพื่อนๆ ยืดหยุ่นดี
ส่งผลให้ดูอ่อนกว่าวัย ผิว (หนังไม่เหนี่ยว) นุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวล
และลดริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

4. กล้วยไข่
อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีฤทธิต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยให้พวกเราต้านความแก่ได้ค่ะ

5. ฝรั่ง
อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยสร้างคอลลาเจน
ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าแต่งตึงไม่เหี่ยวย่น จนดูแก่ก่อนวัย

6. แอปเปิ้ล
อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ (เช่นเดียวกับถั่ว)
มีน้ำตาลที่ดูดซึมไปให้พลังงานได้รวดเร็วอยู่สูง เวลาหิวๆ ก็คว้าแอปเปิ้ลขึ้นมาทานเลยค่ะ
ให้พลังงานแบบด่วน ลดความอ่อนเพลีย และอิ่มเร็ว แถมการทานแอปเปิ้ล 2 - 3 ผลต่อวัน
ยังช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะไฟเบอร์ในแอปเปิ้ล
จะไปดักจับโคเลสเตอรอลและพาไปทิ้ง ก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกาย

7. ส้ม
อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ กากใยจากส้มจะช่วยให้อิ่มเร็ว
เหมาะสำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการลดน้ำหนัก คว้าส้มขึ้นมาปอกใส่ปากซะเลย
ลดความหิว หรือตัดกำลังลดปริมาณอาหารที่จะกินในหนึ่งมื้อได้ดีทีเดียวค่ะ

สำหรับปริมาณของการทานผักผลไม้ที่แนะนำจากสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกา
คือ ใน 1 วัน ควนทานผักผลไม้รวมกันให้ได้ 1/2 กิโลกรัม หรือ 5 ขีด
จะช่วยให้เพื่อนๆ มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และดูสดใส มีชีวิตชีวาค่ะ
ผักผลไม้อื่นนอกจากนี้ก็มีประโยชน์เช่นกันนะคะ แต่ทาโกะเห็นว่าผักและผลไม้ทั้ง 7 นี้
หาซื้อได้ง่าย ทานก็ง่าย และราคาก็ไม่แพงอีกด้วย สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการมีสุขภาพแข็งแรง
ดูดี และสวยได้ด้วยตนเอง นำไปทดลองกันดู และเมื่อสวยจากภายนอกแล้ว
อย่าลืม!! สวยจากภายในด้วยการมีจิตใจที่ดีด้วยนะคะ ( ^^ )

ภาพ : http://www.sxc.hu
via : สสส. หนังสือเภสัชโภชนา โดย ภก. สรจักร ศิริบริรักษ์

แหล่งที่มา:
http://www.thaihealth.or.th/node/9075
[ ... ]

ลดน้ำหนักด้วยการ.. ผ่าตัดเย็บกระเพาะให้เล็กลง

ตอนเป็นเด็กทาโกะเคยคิดเล่นๆ ว่า.. ตอนที่หิวบ่อยอยากกินนั่นกินนี่มากๆ
เราน่าจะไปให้คุณหมอเย็บกระเพาะเราให้เล็กลงได้นะ จะได้ไม่กินเยอะ
ไม่เปลืองดี แล้วก็ไม่อ้วนด้วย แบบว่าไม่ค่อยชอบเล่นกีฬาน่ะค่ะ (-_-'')

เวลาผ่านไปหลายปี (อย่ารู้เลยนะคะว่ากี่ปี ฮ่าๆ) ความคิดนั้นก็เป็นจริงจนได้
ด้วยฝีมือของคุณหมอ เกรกก์ นิชิ (Dr. Gregg Nishi) ศัลยแพทย์
จากศูนย์แพทย์ซีดาร์สไซนาย (Cedars-Sinai) ในลอสแองเจลลิส

วิธีก็คือสอดท่อขนาดสายยางรดน้ำต้นไม้เข้าไปทางปากลงไปทางคอ
[แค่นึกภาพตามยัง .. กลัว >.< มันน่าจะเจ็บนะคะ ถึงเค้าใช้ยาสลบก็เถอะ
มันก็ต้องมีแผลขีดข่วนบ้าง ตามทางเดินอาหารที่สอดท่อลงไปน่ะค่ะ]
แล้วใช้เครื่องยิงเย็บกระเพาะอาหารให้เล็กลง จึงทำให้กินน้อยลง เพราะจะรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
แถมข้อดีมากๆ คือ "ไม่มีรอยแผลเป็น" อีกด้วย [ก็เค้าเย็บกระเพาะจากด้านในนี่นา]

ซึ่งผลจากการผ่าตัดกับคนไข้ในอเมริกา 200 คน และในยุโรปอีก 100 คน ดูท่าว่าจะดี
เพราะคนไข้ในยุโรป ซึ่งผ่าตัดมาได้นาน 18 เดือน มีน้ำหนักตัวลดลงถึงร้อยละ 45
แต่.. ที่เกิดอันตรายก็มีค่ะ คือ คนไข้รายหนึ่งทางเดินอาหารทะลุ แต่ไม่พบว่ามีโรคแทรกซ้อนใหญ่อื่นๆ

ถ้าการลดน้ำหนักด้วยตัวเองมันยากเกินไปสำหรับเพื่อนๆ ที่มีน้ำหนักตัวเกินพิกัดมากๆ
วิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้ลดน้ำหนักลงได้ค่ะ แต่มันคุ้มที่จะผ่าตัดหรือไม่
เพื่อนๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจคิดให้ดีก่อนเสี่ยงเจ็บตัวนะคะ

สำหรับเพื่อนๆ ที่คิดว่า..การทานให้น้อยลงมันยาก ทาโกะอยากแนะนำค่ะ
ให้ทานเฉพาะในมื้อจริงๆ แล้วก็ต้องใจแข็งด้วยเมื่อตัดสินใจว่า "ไม่กิน!!" ก็คือ "ไม่กิน!!"
แล้วก็เลือกกินให้มากขึ้นดีไหมคะ คือ เลือกกินเฉพาะที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ แบบโฆษณานึงในทีวี
ภาพเคลื่อนไหว.. ผู้หญิงกำลังคุยกันเรื่องเสื้อผ้า รองเท้า เลือกโน่นนี่ แต่กินขนมอะไรสักอย่างบนโต๊ะ
ขนมอยู่ในเป็นถุงสีขาวไม่มียี่ห้อเลย แล้วคุณผู้ชายโต๊ะตรงข้ามที่มองดูอยู่เค้าทนไม่ได้
เลยเดินมาบอกว่า.. "เลือกจัง (หมายถึงพวกเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า) แต่เรื่องกินทำไมไม่เลือก"
มันโดนใจคนชอบกินแบบทาโกะจังค่ะ ชอบมากเลยยย~ ( ^^ )

ภาพ : http://www.sxc.hu
via :
http://www.thairath.co.th/content/tech/11334

แหล่งที่มา:
http://www.msnbc.msn.com/id/31090449
[ ... ]

มารู้จักสารในสีของผัก และผลไม้ที่เราทานกัน

หลายคนคงเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไม..ผัก และผลไม้ถึงมีสีสันที่แตกกันทั้งสีเขียว สีม่วง สีเหลือง สีแดง ทราบกันหรือไมว่า..สีสวยๆของผักผลไม้เหล่านี้ ยังมีสารที่ให้ประโยชน์แตกต่างกันด้วยนะค่ะ แล้วสารที่ว่าจะอยู่ในผักผลไม้สีอะไรบ้างนั้นต้องตามมาดูกัน>>>

@ คาโรทีนอยด์ @

คาโรทีนอยด์ คือ เม็ดสีเหลือง แสด ที่ละลายในไขมัน ในผักใบเขียว คาโรทีนอยด์อยู่ในคลอโรพลาสต์ ซึ่งมีคลอโรฟิลล์อยู่ด้วย สีเขียวของคลอโรฟิลล์จะกลบสีเหลืองของคาโรทีนอยด์จนมองไม่เห็น

คาโรทีนอยด์เป็นสารพวกไฮโดรคาร์บอนชนิดไม่อิ่มตัว ส่วนใหญ่ประกอบด้วยคาร์บอน 40 อะตอม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แคโรทีน และเบตาแคโรทีน แคโรทีนมีคุณค่าทางโภชนาการ บางครั้งเรียกว่า โพรวิตามินเอ สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอที่ลำไส้เล็ก

การหุงต้มธรรมดาไม่มีผลต่อสี หรือคุณค่าทางอาหาร คาโรทีนอยด์ไม่ละลายน้ำทำให้เป็นการป้องกันไม่ให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ แต่เนื่องจากโมเลกุลของคาโรทีนอยด์ไม่อิ่มตัว จึงถูกออกซิไดส์ได้ เมื่อทิ้งให้ถูกอากาศนานๆ จะทำให้สูญเสียวิตามินเอ และทำให้คาโรทีนอยด์ในอาหารตากแห้งเปลี่ยนสี วิธีป้องกัน คือ การลวกผัก และรมควันกำมะถัน หรือคลุกซัลไฟท์ ก่อนที่จะนำผลไม้ไปตากแห้ง

@ คลอโรฟีลล์ @

คลอโรฟีลล์ เป็นเม็ดสีที่ให้สีเขียวแก่พืช อยู่ในคลอโรพลาสต์คลอโรฟีลล์ใช้ในการสังเคราะห์แสงของพืช คลอโรฟีลล์ดูดพลังงานจากแสงแดดไว้เพื่อสร้างคาร์โบไฮเดรตจากน้ำ และก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์
คลอโรฟีลล์เป็นโมเลกุลใหญ่ ในพืชที่ใช้เป็นอาหาร พอคลอโรฟีลล์เอ และบี ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับฮีโมโกลบินในเลือด มีข้อต่างคือ ฮีโมโกลบินมีเหล็ก แต่คลอโรฟีลล์มีแมกนีเซียม เมื่อได้รับความร้อนไฮโดรเจนจะเข้าไปแทนที่แมกนีเซียมในโมเลกุลของ คลอโรฟีลล์ได้ง่าย จะได้สารที่ชื่อว่าฟิโอไฟติน ซึ่งมีสีเขียวอมน้ำตาล

เมื่อแมกนีเซียมถูกแทนที่แล้ว จะเติมแมกนีเซียมกลับเข้าไปในโมเลกุลอีกยาก แต่การเติมเกลืออาซีเตค ของเหล็กสังกะสีและทองแดง จะช่วยให้สีเขียวสดใหม่ แต่วิธีนี้ไม่ใช้กันในการหุงต้มผัก เพราะคลอโรฟีลล์ไม่ละลายน้ำ น้ำต้มผักใบเขียวจึงมีสีเขียวเพียงเล็กน้อย คลอโรฟีลล์ที่บริสุทธิ์สามารถถูกทำลายด้วยไขมัน เมื่อใส่ผักใบเขียวลงในน้ำเดือด จะเขียวสด และดูใสขึ้นเพียงพักเดียว ต่อมาจะกลายเป็นสีอมเหลือง

@ ฟลาโวนอยด์ @

ฟลาโวนอยด์ แม้เม็ดสีหลายชนิดที่จัดอยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์จะมีสูตรโครงสร้างคล้ายคลึง กัน แต่ก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันมาก อาจแบ่งฟลาโวนอยด์ออกเป็นกลุ่ม 3 กลุ่มคือ แอนโธซานติน ซึ่งมีสีเหลืองนวล แอนโธไซยานิน ซึ่งมีสีม่วงแดง และแทนนินที่ไม่มีสี แต่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้ง่าย

รู้อย่างนี้แล้ว ก็หันมากินผักและผลไม้กันเยอะๆ จะดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี

แหล่งที่มา:
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=74942&NewsType=2&Template=1
[ ... ]

6 เทคนิคกั้นลมปาน (ตด)

อุ๊ย...พูดถึงเรื่องลมปานเดินทีไร คงหนีไม่พ้นการผายลม หรือ 'ตด' นั้นเอง
บางครั้งสิ่งนี้ก็อาจเป็นเรื่องทีทำให้เรารู้สึกอับอาย หากกำจัดออกมาแบบไม่ถูกที่ถูกทาง
ว่าไปมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนทำกัน แต่จะดีกว่าไหมถ้าหากเราควบคุมมันได้

จริงๆ แล้วการผายลมมันเป็นอาการที่ควบคุมไม่ค่อยได้ หากถึงขีดสุด
ซึ่งอาการผายลมนั้นเกิดจากการมีอากาศ หรือแก๊สในกระเพาะมากเกินไป
แต่จะให้ปล่อยออกมาในที่สาธารณะ ก็คงจะมีคนทักว่า "ใครตด" เป็นแน่แท้
ถ้าโชคดีไม่มีเสียงก็แล้วไป แต่ถ้าโชคร้ายดันมาเป็นคู่ทั้ง กลิ่น และเสียง ละก็
แทบไม่อยากคิดถึงสายตาคนรอบข้างเลยเรา!!

เพราะเหตุนี้เราจึงมีเทคนิคพิชิตลมปาน "ตด" มาฝากกัน
1. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเติมแก๊ส เช่น เบียร์ โซดา น้ำอัดลม เพราะของเหล่านี้มีแก๊ส
ซึ่งจะทำให้เรอ และผายลมออกมามากขึ้น

2. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มปรุงสำเร็จ ที่มีส่วนประกอบของน้ำเชื่อมฟรัคโทส (fructose syrup)
เช่น เครื่องดื่มกระป๋อง น้ำผลไม้กระป๋อง บางคนอาจดูดซึมน้ำตาลชนิดนี้ได้น้อย
ทำให้ท้องอืด หรือผายลมออกมากขึ้น

3. อย่ากินอาหาร หรือดื่มน้ำเร็วเกินไป เพราะระหว่างกินเราจะ กลืนอากาศเข้าไปด้วย
หากเรากินเร็วมากเท่าไร ก็เท่ากับว่าเรากลืนเอาลมมากตามไปด้วย ถ้ากินช้าๆ
เคี้ยวให้ละเอียดจะช่วยให้อากาศเข้าสู่ร่างกายได้น้อยลง

4. หยุดสูบบุหรี่ อันนี้คงเป็นเรื่องอยากสำหรับนักดูดอย่างสิ่งรมควัน
แต่รู้หรือไมว่า....การสูบยา คือการสูบอากาศเข้าไปด้วย

5. ลดอาหารที่มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบ เช่น ไข่ เนื้อสัตว์ กะหล่ำปลี
ซึ่งอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดแก๊สสะสมที่มีกลิ่นเหม็นในกระเพาะได้

6. ลดการรับประทานถั่วสด และผักสด การกินถั่วสด ถั่วอบแห้ง และผักบางชนิด
อาจมีน้ำตาลที่ร่างกายย่อยไม่ได้ แบคทีเรียในลำไส้จะย่อยน้ำตาลพวกนี้แทน
ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ จึงควรกินถั่ว และผักที่ปรุงสุกแล้ว

สิ่งเหล่านี้เป็นแค่...วิธีป้องกัน และหลีกเลี่ยงการเกิดแก๊สในกระเพาะให้น้อยลง
ซึ่งเป็นต้นเหตุของการขับลมปาน แต่หากสุดวิสัยจริงๆ กับการสะกดจุดลมปานนั้นไม่ได้
จนต้องกำจัดออกมากลางที่สาธารณะ ก็คงต้องเสี่ยงดวง แล้วยอมรับชะตากรรม

ว่า... จะมีใครจับได้ไหม สำหรับกลิ่น และเสียงที่ออกมา เพราะว่าหลังจากนั้น
จะมีคำถามที่ว่า.. "ใครตดวะ เหม็นชิหายเลย" และถ้าเพื่อนๆ กล้าพอก็ยอบรับซะ
แต่ถ้ายังหน้าบางอยู่ ก็ขอแนะนำให้ทำหน้านิ่งๆ เนียนๆ และเงียบไป +___+

[ ... ]

ภัยจาก Sugar Free

เคยเห็นคำว่า "Sugar free" บนฉลากของลูกอม หรือหมากฝรั่งหลายยี่ห้อที่วางขายกันบ้างไหม? สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่ชอบคุมน้ำหนัก คำนี้อาจเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ทันที ซึ่งหารู้ไม่ว่า.. Sugar free ไม่ได้มีประโยชน์ แต่อาจได้รับโทษหากบริโภคมากเกินความจำเป็น

ลูกอม และหมากฝรั่งประเภท Sugar free จะใช้สารให้ความหวาน ประเภท Sorbitol หรือ Xyltiol แทนการใช้น้ำตาล สารประเภทนี้มีประโยชน์อยู่บ้างตรงที่ไม่ทำให้ฟันผุ มีแคลอรีน้อยกว่าน้ำตาล (แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีแคลอรีเลย) บางชนิดอาจไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่เหมาะสำหรับเด็ก แถมยังไม่ใช่อาหารควบคุมน้ำหนัก และที่สำคัญหากบริโภคในปริมาณมากเกินยังมีโทษ เนื่องจากสารนี้มีคุณสมบัติเป็นยาระบายได้ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้หากบริโภคเกิน 20-35 กรัม

ซึ่งกรณีนี้เคยเกิดขึ้นในคนไข้รายหนึ่งที่เคี้ยวหมากฝรั่งที่มีส่วนผสมของ Sorbitol ในปริมาณ 15-20 ชิ้นต่อวัน ทำให้เขามีอาการปวดท้อง และท้องเสียเรื้อรัง และอาการดังกล่าวหายไปเมื่อเขาหยุดกิน

ดังนั้นเพื่อนๆ จึงไม่ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะมันไม่มีประโยชน์ แถมยังอาจเป็นภัยต่อร่างกายเราด้วยซ้ำ

แหล่งที่มา:
blog.fukduk.tv
[ ... ]

วิธีสังเกต "ยา" เสื่อมคุณภาพ

การรับประทาน "ยา" เราควรต้องอ่านฉลากด้านข้างอย่างละเอียดทุกครั้งก่อนรับประทาน
โดยเฉพาะวัน/เดือน/ปี ที่ผลิต และหมดอายุ (อันนี้สำคัญ) ต้องดูให้ละเอียด
เพื่อเราจะได้ไม่ทานยาที่หมดอายุแล้วเข้าไป

แต่บางครั้งฉลากที่บอกวันผลิต-วันหมดอายุของยา อาจจางหายไปกับกาลเวลา
หรือ 'ยา' ที่ผลิตออกมานั่นอาจจะเสื่อมคุณภาพก่อนวันหมดอายุที่ระบุไว้ก็เป็นได้
ซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับการเก็บรักษา หรือตัวยานั้นไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน
ก็อาจทำให้เสื่อมคุณภาพได้ก่อนกำหนด

แล้วเพื่อนๆ ทราบหรือไม่ว่า... ยาแต่ละชนิดนั้นเมื่อเสื่อมคุณภาพจะมีลักษณะเช่นไร?

วิธีสังเกตยาที่เสื่อมคุณภาพ

- ยาเม็ด สังเกตว่า: เม็ดยาจะแตกร่วน สีเปลี่ยนไป มีจุดด่าง ขึ้นรา หรือหากเป็นยาเม็ดเคลือบน้ำตาล
เม็ดยาอาจเยิ้มเหนียวมีกลิ่นหืนหรือกลิ่นผิดไปจากเดิม

- ยาแคปซูล สังเกตว่า: แคปซูลจะบวม พองออก หรือจับกัน ผงยาในแคปซูลเปลี่ยนสี
เช่น ยาเตตราซัยคลินที่เสียแล้ว ผงยาจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อไตมาก

- ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ทาแก้คัน หากเสื่อมสภาพตะกอนจะจับกันเป็นก้อน
เกาะติดกันแน่น เขย่าแล้วไม่กระจายตัวดังเดิม มีความเข้มข้น กลิ่น สี หรือรสเปลี่ยนไป

- ยาน้ำเชื่อม เช่น ยาแก้ไอ หากหมดอายุ ยาจะมีลักษณะขุ่นมีตะกอน ผงตัวยาละลายไม่หมด
สีเปลี่ยน มีกลิ่นบูดเปรี้ยวหรือรสเปรี้ยว

- ยาขี้ผึ้ง และครีม ถ้าพบว่าเนื้อยาแข็งหรืออ่อนกว่าเดิม เนื้อไม่เรียบ เนื้อยาแห้งแข็ง
หรือสีของยาเปลี่ยนไป

และแน่นอนว่า...วิธีการดูว่ายาหมดอายุ คือ ดูวันหมดอายุของยาที่ระบุไว้บนฉลากยา และถ้ายานั้นไม่มีวันบอกหมดอายุ อาจดูจากวันเดือนปีที่ผลิต ซึ่งโดยปกติ ถ้าเป็นยาน้ำจะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต และหากเป็นยาเม็ดจะเก็บไว้ได้ 5 ปี และถ้าเป็นยาหยอดตาหากเปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้เพียงหนึ่งเดือน

เพื่อนๆ คงรู้วิธีสังเกตยากันแล้ว! ครั้งหน้าถ้าหากจะรับประทานยา ก็อย่าลืมสังเกตดูวันหมดอายุ หรือดูลักษณะการเปลี่ยนแปลงของยาก่อนรับประทานยากันด้วยนะค่ะ

[ ... ]

เดินคุยโทรศัพท์มาก ระวัง!! ปวดหลังไม่รู้ตัว

ไม่บ่อยนัก ที่ทาโกะจะหยิบนิตยสารสุขภาพมาอ่านสักที
จริงๆ อ่านได้ทุกแนว (อ่านหนังสือนะ ไม่ใช่ฟังเพลง!!)
ยิ่งถ้ามีให้อ่านฟรี~ แล้วอ่านออกนะ ก็ชอบหมดอ่ะค่ะ (^0^)
[แบบที่เค้าวางไว้ตามร้านทำผม หรือแจกฟรีตามร้านขายของไงคะ]
แต่วันนี้ได้อ่านนิตยสารชีวจิต ไปเจอเรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์ด้วย
ต้องนำมาเล่าสู่เพื่อนๆ Mobile Mob กันหน่อย

เป็นผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลียค่ะ
เขาบอกว่า.. "คุยโทรศัพท์ไปเดินไป ระวังปวดหลัง"

เนื่องจาก ร่างกายของคนเราถูกออกแบบมาให้หายใจออกเวลาเท้าแตะพื้น
เพื่อป้องกันการกระแทกของกระดูกสันหลัง แต่..เมื่อเราเดินพร้อมกับพูด
สมองต้องไปใส่ใจกับการคุยมากกว่า รูปแบบการหายใจนั้นจะเสียไป
และจะเป็นอันตรายต่อกระดูกสันหลัง

อ่าว! .. อย่างงี้พวกนักพูด หรืออาจารย์ หรือคนอื่นๆ ที่เดินไปด้วยพูดไปด้วยก็เป็นได้สิ?
ใช่แล้วค่ะ ทุกคนที่เดินพร้อมกับพูดเป็นได้หมด
แต่.. คนที่เดินคุยโทรศัพท์พร้อมกับพูดนั้น มีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ
เนื่องจากเมื่อเราเดินคุยโทรศัพท์ เราจะใช้เวลากับการเดินพร้อมกับพูดมากกว่าปกติ
[สาวๆ เวลาเดิน Shoping แล้วมีกิ๊กเยอะ โทรมาเนี่ยใช่เลย!!]

ต่อไปนี้ไม่ใช่แค่ "ขับไม่โทร" อาจต้องกลายเป็น "เดิน (ก็) ไม่โทร" ด้วย
ไม่งั้นระวังจะปวดหลังไม่รู้ตัวนะคะ เป็นห่วงสุขภาพชาว Blog.Fukduk ทุกคนค่ะ ( ^^ )

ps.
การวิจัยนี้เขาทดลองกับอาสาสมัคร (ซึ่งคงจะปวดหลังกันไปก่อนพวกเราแล้ว!!)
ด้วยการวัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลำตัวส่วนที่ปกป้องกระดูกสันหลัง
ของคนที่เดินอย่างเดียว แล้วเปรียบเทียบกับของคนที่เดินพร้อมกับพูด

ภาพ : http://www.sxc.hu
via :
ขาเม้าท์ระวังไว้ คุยโทรศัพท์ไปเดินไประวังปวดหลัง, Why mobile phones may hurt backs

[ ... ]