Wednesday, December 23, 2009

น้ำยาบ้วนปากจำเป็นจริงหรือ

น้ำยาบ้วนปาก


น้ำยาบ้วนปากจำเป็นจริงหรือ (Mcot)

น้ำยาบ้วนปากเป็นของเหลวที่มีส่วนช่วยในการทำความสะอาดช่องปาก แต่เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากเท่านั้น ไม่ใช่วิธีทดแทนการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟัน การบ้วนปากเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ที่จะขจัดเศษอาหารที่ตกค้างทั้งหมดได้ แต่ใช่เพื่อลดเชื้อโรคภายในช่องปาก ระงับกลิ่นปาก (ชั่วคราว) ทำให้ปากชุ่มชื้นสดชื่นจากรสและกลิ่นของน้ำยา

น้ำยาบ้วนปากมีหลายชนิด ควรเลือกใช้ชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือมีน้อยที่สุด เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องปาก ทั้งยังให้ความรู้สึกแสบช่องปากอีกด้วย หลีกเลี่ยงน้ำยาที่มีส่วนผสมของกรดเพราะจะทำให้ผิวฟันกร่อน เคลือบฟันบางลง และเกิดอาการเสียวฟันตามมาได้

เราสามารถทำน้ำยาบ้วนปากได้เองง่าย ๆ โดยใช้เกลือป่นประมาณครึ่งช้อนชาถึงหนึ่งช้อนชา ละลายในน้ำอุ่นค่อนแก้ว ใช้บ้วนปากได้ดี ประหยัด และปลอดภัย


ข้อแนะนำเพิ่มเติม
ก่อนใช้ต้องศึกษาส่วนผสมและวิธีใช้ข้างขวดให้ดีก่อน ให้ใช้ในปริมาณพอเหมาะ ระยะเวลานานพอควร ถ้าเป็นแบบเข้มข้นควรเจือจาง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการแสบร้อน ก่อนใช้ควรขจัดเศษอาหารให้หมดเสียก่อน เพื่อให้น้ำยาสัมผัสช่องปากได้ทั่วถึงและเต็มประสิทธิภาพ

หากเรามั่นใจว่า ทำความสะอาดช่องปากด้วยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันได้ดีพอแล้ว การใช้น้ำยาบ้วนปากก็ถือว่าไม่จำเป็น...ดังนั้นจะใช้หรือไม่ แล้วแต่เห็นสมควร


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก


[ ... ]

Tuesday, December 22, 2009

ระวัง...สารเคมีจากชุดชั้นในสีดำ

ชุดชั้นใน



ระวัง...สารเคมีจากชุดชั้นในสีดำ (Lisa)

จากการศึกษาของนิตยสาร Öko-Test ในประเทศเยอรมนีที่ทำการทดสอบชุดชั้นในสีดำ 25 ตัว พบสารก่อมะเร็ง เนื่องจากชุดชั้นในสีดำบางยี่ห้อมีสารเคมีสีดำในปริมาณสูง ซึ่งเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นตัวก่อมะเร็ง เพราะเมื่อผู้สวมใส่มีเหงื่อออกสารเคมีก็จะตกสีออกมา ทำให้ผิวหนังได้รับสารเคมีอันตราย และมันจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งได้

นอกจากสารเคมีสีดำก็ยังพบสารอันตรายที่ชื่อว่า Diethyhexylpthalate (DEHP) ซึ่งเป็นตัวยึดทรงชุดชั้นใน สารตัวนี้ติดอันดับในรายการสารอันตรายที่ทางสหภาพยุโรประบุไว้ เพราะเป็นสารก่อมะเร็ง และเป็นสารต้องห้ามสำหรับของเด็กเล่นและผลิตภัณฑ์ทารก

แต่สาว ๆ ที่มีชุดชั้นในสีดำก็อย่าเพิ่งตกใจจนต้องโยนชุดชั้นในสีดำทิ้ง ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า หากซื้อชุดชั้นในสีดำมา ก็จะต้องซักล้างให้สะอาดเกลี้ยงเกลาก่อนใส่ทุกครั้ง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

Monday, December 21, 2009

โรคเหงาระบาดได้


โรคเหงา

โรคเหงาระบาดได้ (ไทยโพสต์)


นักวิจัยในสหรัฐพบว่า ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดายสามารถแพร่ระบาดไปยังคนอื่นได้ ทำนองเดียวกับไข้หวัดใหญ่ ซึ่งผู้หญิงมีโอกาสมากกว่าผู้ชายที่จะ "ติดเชื้อ" นี้

งานวิจัยของทีมจากมหาวิทยาลัยชิคาโก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก พบว่า คนที่เหงามักแพร่ความรู้สึกซึมเศร้าแก่คนรอบตัว ซึ่งในที่สุดคนเหล่านี้จะแยกตัวออกจากสังคม

จอห์น คาซีออพโป นักจิตวิทยาของ ม.ชิคาโก หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า คนที่เหงาจะแพร่เชื้อไปยังเพื่อน ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ ขณะเจ้าตัวเองก็จะมีเพื่อนน้อยลง ๆ เพื่อนที่เหลือนั้นก็จะพากันเหงา และสูญเสียเพื่อนเช่นกัน

เนื่องจากความเหงาเกี่ยวข้องกับทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ซึ่งทำให้อายุของคนเราสั้นลง เขาบอกว่าเราควรตระหนักถึงเรื่องนี้ และช่วยเหลือคนที่เหงาก่อนที่คนเหล่านั้นจะปลีกตัวออกจากสังคม

งานชิ้นนี้ได้ศึกษาข้อมูลในโครงการติดตามโรคหัวใจ ซึ่งได้ศึกษาความเสี่ยงของโรคหัวใจร่วมหลอดเลือดในคนไข้กว่า 5,000 รายนับแต่ปี 2491 ซึ่งโครงการนี้ได้ขยายรวมถึงคนรุ่นที่สองอีก 5,124 คน

นักวิจัยพบว่าเมื่อคนเรารู้สึกเหงา ก็จะรู้สึกเชื่อใจไว้ใจคนอื่นน้อยลง และทำให้ยากแก่การสร้างมิตรภาพให้เกิดขึ้น

นักวิจัยบอกว่า โดยธรรมชาติแล้วสังคมมักกีดกันคนแบบนี้ออกไป ซึ่งพบได้ในการทดลองกับลิง ฉะนั้น จึงต้องหาทางรับมือกับความเหงาก่อนที่จะแพร่เชื้อไปยังคนอื่น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

Sunday, December 20, 2009

เชื้อก่อโรคในพริกแกง


พริกแกง

เชื้อก่อโรคในพริกแกง (ไทยรัฐ)

"แกง" เป็นอาหารคาวที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน ไม่ว่าจะปรุงเป็นอาหารกินกันเองในครัวเรือน หรือปรุงเป็นแกงเผ็ด แกงส้ม แกงปลา แกงเขียวหวาน หรือผัดพริกแกงชนิดต่าง ๆ ตักขายเป็นแกงถุง ตักราดข้าว ให้เลือกรับประทานอย่างหลากหลาย

ปัจจุบัน ทั้งพ่อครัว แม่ครัว พ่อค้า แม่ขาย ไม่นิยมทำพริกแกงกันเอง แต่จะนิยมซื้อตามท้องตลาดสด ที่ทำเป็นพริกแกงสำเร็จรูปชนิดต่าง ๆ ตักขายอยู่แล้ว หรือไม่อาจจะไปหาซื้อน้ำพริกแกงสำเร็จรูปบรรจุถุง จากซุปเปอร์มาร์เกต หรือห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ มาใช้

แม้ว่าพริกแกงจะเป็นอาหารคาวประจำบ้านของคนไทยมานาน แต่หากการผลิตใช้วัตถุดิบ อุปกรณ์ ภาชนะบรรจุที่ไม่สะอาด หรือมีกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจทำให้พริกแกงเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เนื่องจากการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค เช่น เชื้อบาซิลลัส ซีเรียส เป็นสาเหตุทำให้อาหารเป็นพิษ เกิดอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร 2 แบบ

คือแบบที่ทำให้ผู้ป่วยท้องร่วง ปวดท้องและถ่ายอุจจาระเหลว อาจมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย

แบบที่สองจะทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เริ่มจากคลื่นไส้ ปวดท้องและท้องร่วง หลังจากกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อบาซิลลัส ซีเรียสเข้าไป

วันนี้ "มันมากับอาหาร" ออกสุ่มเก็บตัวอย่างพริกแกงชนิดต่าง ๆ จำนวน 5 ตัวอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนของเชื้อบาซิลลัส ซีเรียส

ผลปรากฏทุกตัวอย่างปนเปื้อนเชื้อชนิดนี้และมีพริกแกงถึง 3 ตัวอย่าง ที่พบว่ามีเชื้อตัวนี้ปนเปื้อน เกินมาตราฐานของกระทรวงสาธารณสุขไทย ที่กำหนดให้ในแกงและน้ำพริกต่าง ๆ มีเชื้อบาซิลลัส ซีเรียส ปนเปื้อน ได้ไม่เกิน 1,000 ในตัวอย่างพริกแกง 1 กรัม

พริกแกง

ทางที่ดีควรนำมาปรุงให้สุกก่อนรับประทานทุกครั้ง และรีบประทานขณะที่ยังร้อนหรือปรุงสุกใหม่ ๆ

เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง...!!!.



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

Saturday, December 19, 2009

คนไทย กับการกิน พาราเซตามอล เกินขนาด

ยา พาราเซตามอล

คนไทย กับการกิน พาราเซตามอล เกินขนาด (อสมท)

ซองยาพาราเซตามอลมักระบุให้กิน 2 เม็ดทุก 4 -6 ชั่วโมง ถ้าปฏิบัติตามนั้นจริงแปลว่าผู้ป่วยกินยาพาราวันละ 12 เม็ด!

พาราเซตามอล ซึ่งคนไทยมักเรียกยานี้สั้น ๆ ว่า "พารา" เป็นยาแก้ปวด ลดไข้ ที่ใช้กันบ่อยที่สุดทั้งจากการสั่งใช้โดยแพทย์ หรือการซื้อหามาเพื่อรักษาตนเอง แต่กลับเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่าคนไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับยานี้เกินขนาด ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง

โดยทั่วไปพาราเซตามอลจัดเป็นยาแก้ปวด ลดไข้ ที่มีอันตรายจากการใช้น้อยกว่ายาแก้ปวด ลดไข้ ชนิดอื่นเช่นแอสไพริน เนื่องจากแอสไพรินมีผลยับยั้งการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดออกแล้วหยุดยาก จึงห้ามใช้ลดไข้ในคนที่เป็นไข้เลือดออก และห้ามใช้แก้ปวดภายหลังการผ่าตัดหรือถอนฟัน

แอสไพรินยังทำให้เกิดแผลที่กระเพาะอาหาร หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร อาเจียนเป็นเลือด หรือกระเพาะอาหารทะลุได้ แต่พาราเซตามอลไม่มีอันตรายดังกล่าว ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่าง ๆ ของแอสไพรินมากกว่าผู้ใช้ยาที่มีอายุน้อย ดังนั้นสมาคมแพทย์ผู้รักษาผู้สูงอายุแห่งสหรัฐอเมริกา จึงแนะนำให้ชาวอเมริกันที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ใช้พาราเซตามอลเป็นยาหลักในการบรรเทาปวด

นอกจากนี้สมาคมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคข้อในหลายประเทศทั่วโลก ต่างแนะนำให้ใช้พาราเซตามอลเป็นยาขนานแรก กับผู้ที่มีอาการปวดข้อจากโรคข้อเข่าเสื่อมแทนการใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน (บรูเฟน) ไดโคลฟีแนค (โวลทาเรน) ซีลีค็อกสิบ (เซเลเบร็ก) หรือ อีโตริค็อกสิบ (อาร์ค็อกเซีย) เนื่องจากบรรเทาปวดได้พอ ๆ กันแต่มีความปลอดภัยกว่ามาก

พาราเซตามอล ยังเป็นยาที่ควรเลือกใช้เป็นอันดับแรกในเด็ก ในผู้ที่เป็นโรคไต ในผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ในผู้ที่เป็นหอบหืด ซึ่งอาจแพ้ยาในกลุ่มแอสไพรินได้ง่าย ตลอดจนผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งต่างเป็นข้อห้ามใช้ของแอสไพรินทั้งสิ้น พาราเซตามอลจึงมีที่ใช้กว้างขวางทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

อันตรายที่สำคัญที่สุดของพาราเซตามอลคือ การเกิดพิษต่อตับ ในประเทศสหรัฐอเมริกาการกินพาราเซตามอลเกินขนาด เป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งของการเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน จนทำให้ตับวายซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต หรือต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

Friday, December 18, 2009

ปวดศีรษะ แสบตา ควรเช็กแสงไฟที่โต๊ะ


ทำงาน

ปวดศีรษะ แสบตา ควรเช็กแสงไฟที่โต๊ะทำงาน (Lisa)

หากคุณรู้สึกปวดศีรษะอยู่เสมอ หรือแสบตาเป็นประจำขณะนั่งทำงานอยู่ล่ะก็ คุณควรสำรวจไฟในที่ทำงานของคุณ

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่า แสงไฟที่ผิดปกติที่โต๊ะทำงานจะทำให้คุณต้องเพ่งสายตา จนอาจก่อให้เกิดอาการดังกล่าวได้

โดยแสงไฟที่โต๊ะทำงานไม่ควรส่องสว่างจ้าเข้าดวงตา หรือให้แสงที่ไม่สม่ำเสมอจนดวงตาต้องคอยปรับม่านรับแสงตลอดเวลา ควรใช้แสงธรรมดา หรือแสงไฟสีขาวเพียงสีเดียวก็จะช่วยถนอมสายตาของคนทำงานได้

รู้แล้วก็ลองไปสำรวจแสงไฟที่โต๊ะทำงานของคุณดูนะคะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

Thursday, December 17, 2009

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อันตรายใกล้ตัว

โทรศัพท์มือถือ



คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อันตรายใกล้ตัว (Momypedia)
โดย Dolly

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีอยู่ทุกที่ มาหาวิธีป้องกันดีกว่า

ยุคนี้เลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เลยค่ะที่ชีวิตเกือบ 24 ชั่วโมงของเราจะต้องข้องแวะกับอุปกรณ์ไฟฟ้า และก็คงไม่ต้องกังวลอะไรหรอกค่ะ ถ้าเจ้าอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ได้มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโผล่ออกมา เป็นของแถมทุกครั้งที่เราใช้งาน และด้วยเหตุผลนี้เองเราถึงต้องรู้เท่าทันเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะได้หลีกเลี่ยงและป้องกันตัวเองได้ถูกต้องไงล่ะคะ

ฮัลโหล ฮัลโหล

ติดอันดับต้น ๆ ของความเสี่ยงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเลยล่ะค่ะ คิดดูเอาล่ะกันขนาดในปั๊มน้ำมัน สนามบินหรือห้องไอซียูยังต้องปิดเลยค่ะ นับประสาอะไรกับเจ้าสมองอันแสนบอบบางของมนุษย์เรา ยิ่งเด็ก ๆ กะโหลกยังบางอยู่ ให้ฮัลโหลด้วยมือถือวันละ1-2 ชั่วโมงแย่แน่ค่ะ เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไปทำลายสารพันธุกรรมในเม็ดเลือด เสี่ยงต่อการเป็นเนื้องอกในสมองชนิดหนึ่ง

มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารออคคูเพชั่นนอลแอนด์เอ็นไวรอนเมนทอล โดยนายเลนนาร์ท ฮาร์เดล พบว่าคนที่อยู่ในชนบทที่ใช้โทรศัพท์มือถือ มีโอกาสเสี่ยงเป็นเนื้องอกในสมองมากกว่าคนในเมือง เพราะว่าการใช้โทรศัพท์ในพื้นที่ห่างไกล ทำให้โทรศัพท์ต้องปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในขนาดที่มากกว่าเดิม และยังตั้งเสาสัญญาณในบริเวณใกล้กันอีกด้วย

ฮัลโหลอย่างรู้ทัน

ฝึกใช้สมอลทอล์คจนเป็นนิสัย ถึงแม้จะคุยแค่ครู่เดียวแต่หลายครู่รวมกันก็เยอะอยู่ค่ะ

อย่าให้เด็กเล็กใช้โทรศัพท์มือถือโดยเด็ดขาดหากไม่จำเป็นจริง ๆ

เก็บมือถือไว้ในกระเป๋าดีกว่าเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือ อาจจะทำลายอวัยวะภายในได้ค่ะ


เจ้าสมองกลคอมพิวเตอร์

มีงานวิจัยจากต่างประเทศหลายชิ้นออกมาบอกค่ะว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถทำอันตรายต่อมนุษย์เราได้ เช่น คลื่นรังสีจากคอมพิวเตอร์และมอนิเตอร์ ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสตั้งครรภ์น้อย หรือเสี่ยงที่เด็กในครรภ์จะผิดปกติ แท้ง หรือบางรายอาจจะคลอดก่อนกำหนด ซ้ำยังกระตุ้นให้เซลล์ที่ควบคุมแคลเซียมทำงานเร็วขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดเป็นโรคมะเร็งได้ง่ายอีกด้วย

แต่ทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็ยังไม่มีผลการรับรองว่าเป็นจริงนะคะ ซึ่งเมื่อปี1998 องค์การอนามัยโลกก็ออกมาสรุปเรื่องนี้ว่า ไม่พบปัญหาเรื่องสายตา และต้อกระจกเกิดขึ้นกับคนที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ แต่อาจจะพบอาการปวดศีรษะและสายตาล้าจากการมองจอที่มีแสงจ้าเป็นเวลานาน ส่วนประเด็นเรื่องความผิดปกติของเด็กในครรภ์นั้น รายงานการศึกษาวิจัยระบาดทางระบาดวิทยา ก็ไม่พบว่ามีรังสีจากจอคอมพิวเตอร์มีผลต่อการตั้งครรภ์ ซึ่งความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นกับเด็กในครรภ์นั้น น่าจะเกิดจากความเครียด ท่านั่งและการนั่งเป็นเวลานาน ๆ ค่ะ

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า




รับมือเจ้าสมองกล

วางจอคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากสายตา 50-70 เซนติเมตร และตำแหน่งกลางจอควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตา 20 องศา ส่วนเมาส์หรือคีย์บอร์ดไม่ควรแข็งเกินไป เพราะส่งผลให้เกิดเอ็นข้อมืออักเสบได้

หมั่นพักสายตาและใช้กระจกกรองแสงเพื่อลดคลื่นแม่เหล็กและรังสีจากจอ

ส่วนเจ้าโน้ตบุ๊คอย่าวางไว้บนตักนาน ๆ โดยเฉพาะคุณผู้ชายค่ะ เพราะความร้อนจะทำให้อสุจิของคุณลดลง วางไว้บนโต๊ะหรือหาเบาะมารองจะดีกว่าค่ะ

ไม่ควรให้เด็กอยู่กับคอมพิวเตอร์นาน เพราะนอกจากปัญหาสายตาอาจจะมีปัญหาเด็กติดเกม และพฤติกรรมก้าวร้าวตามมาค่ะ


ไมโครเวฟ

คลื่นไมโครเวฟเป็นคลื่นแบบเดียวกับโทรศัพท์มือถือค่ะ คือคลื่นความร้อนทำลายเซลล์ ซึ่งคลื่นชนิดนี้มีฤทธิ์ทำลายเซลล์ ทำให้ความยาวคลื่นสมองสั้นลง สมองเสื่อม

แต่ถึงแม้คลื่นที่ใช้ในเครื่องไมโครเวฟจะไม่เป็นอันตราย เพราะมีชนวนหุ้มอยู่ ก็ไม่ควรชะล่าใจใช้ไมโครเวฟประกอบอาหารไปทุกอย่าง เพราะจะทำให้เสียวิตามินและแร่ธาตุที่อยู่ในอาหารได้ เนื่องจากความร้อนในไมโครเวฟมีปริมาณสูง เช่น นึ่งผักก็ไม่ควรนึ่งกับไมโครเวฟ หรือต้มนมให้เดือดก็ไม่ควร เพราะคลื่นไมโครเวฟจะทำลายสารอาหารที่มีประโยชน์จนหมด

ใช้เวฟอย่างปลอดภัย

ปฏิบัติตามคู่มือการใช้ไมโครเวฟอย่างเคร่งครัด

ภาชนะที่จะใช้ต้องเป็นสำหรับใช้ในไมโครเวฟเท่านั้นนะคะ จานที่เคลือบทองหรือฟอยด์ห้ามเด็ดขาด เพราะเป็นชนวนอาจทำให้เครื่องช็อตและเกิดไฟไหม้ได้ค่ะ

ไม่ควรใส่ไข่ทั้งลูกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้เกิดแรงดัน ทำไข่ระเบิดเกิดอันตรายได้แบบไม่คาดคิดเลยล่ะ

แค่ปฏิบัติตามคำแนะนำของคู่มือการใช้งานแต่ละเครื่องอย่างเคร่งครัด เท่านี้คุณ ๆ ก็ปลอดภัยจากคลื่นรังสีที่เวียนวนอยู่รอบตัวแล้วค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

[ ... ]

Wednesday, December 16, 2009

อากาศเปลี่ยน...ระวังทอนซิลอักเสบ

ทอนซิลอักเสบ

อากาศเปลี่ยน...ระวังทอนซิลอักเสบ (Lisa)

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หลายคนไม่ทันระวังตัว อาจทำให้มีไข้เจ็บคอ และป่วยเป็นต่อมทอนซิลอักเสบได้

ฮิคารุ อูทาดะ (Hikaru Utada) นักร้องแห่งแดนปลาดิบต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการต่อมทอนซิลอักเสบทุก ๆ ปี ปีละครั้งถึงสองครั้ง และทุกครั้งที่ป่วยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ แถมยังต้องไปหาหมอทุกวัน เพื่อเอายามาบรรเทาอาการ ต่างจากนักร้องแห่งเมืองผู้ดี วิลล์ ยัง (Will Young) ที่ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก ทั้งที่รู้สึกกังวลว่าการผ่าตัดอาจส่งผลให้เสียงของเขาผิดเพี้ยนไปจากเดิม แต่เมื่อผ่านพ้นไปได้ก็พบว่า การตัดไม่ได้ส่งผลต่ออาชีพที่เขารักแต่อย่างใด

ความรู้สึกกังวลที่ว่านี้ นักร้องสาว ลีโอน่า ลูอิส (Leona Lewis) ผู้ชนะเลิศจากรายการ The X Factor ปี 2006 อาจเข้าใจดี เพราะเธอก็รู้สึกกลัวที่จะผ่าตัดต่อมทอนซิลออกเธอรีรอจนคนใกล้ชิดและหมอบังคับให้เธอผ่าตัด ก่อนที่อะไร ๆ จะเลวร้ายไปกว่านี้ ผิดกับนักแสดงสาว โซเฟีย บุช (Sophia Bush) ที่ยอมเลือกการผ่าตัด เพื่อจะได้ไม่ต้องป่วยกระเสาะกระแสะ และจะได้กลับมาโลดแล่นในวงการมายาได้เหมือนเดิม

ต่อมทอนซิล...สำคัญยังไงเนี่ย

ต่อมนี้เป็นต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่งในร่างกายของเรา ทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคและสร้างภูมิคุ้มกันให้เรา โดยหน้าที่อันหลังนี้จะมีความสำคัญมากกับเด็กวัย 1-10 ขวบ และหลังจากนั้นระบบอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น ไขกระดูก ม้าม ตับ ฯลฯ ก็จะทำหน้าที่ในส่วนนี้แทนต่อมทอนซิล

แล้วมีกี่ต่อม

ต่อมทอนซิลมีทั้งหมด 3 ต่อมด้วยกัน ต่อมที่หนึ่งอยู่ตรงลำคอ ทางการแพทย์เรียกว่า Palatine Tonsils โดยเวลาอ้าปากจะมองเห็นได้ทันทีเลย ส่วนต่อมที่สองอยู่ตรงโคนลิ้น ซึ่งจะมีกลุ่มต่อมน้ำเหลืองเยอะมาก ทางการแพทย์เรียกกลุ่มนี้ว่า Lingual Tonsils และต่อมสุดท้ายจะอยู่ตรงโพรงหลังจมูก ทางการแพทย์เรียกว่า Adenoid อย่างไรก็ดี ด้วยลักษณะโครงสร้างต่อมทอนซิลตรงลำคอของบางคน มีลักษณะพื้นผิวอาจจะเป็นร่องเป็นหลืบที่เชื้อโรคอาจจะไปติดอยู่ในนั้น และทำให้ป่วยเป็นต่อมทอนซิลอักเสบได้ง่ายกว่าคนอื่น

อะไรคือสาเหตุ

สาเหตุเกิดได้จากทั้งเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรียสำหรับแบคทีเรียอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น มีลิ้นหัวใจรั่วจากไข้รูมาติก หรือเกิดโรคไตอักเสบ และอาจเสียชีวิตได้ถ้ารักษาไม่ถูกต้อง หรือรักษาช้าไป ส่วนถ้าเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดต่าง ๆ จะมีอาการเจ็บคอและคออักเสบได้ แต่อาการมักจะไม่รุนแรง

อาการเป็นยังไงบ้าง

คนที่ป่วยเป็นต่อมทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ ร่องหลุมของทอนซิลในลำคอจะลึกมากขึ้น เหมือนคนเป็นแผลเป็น และเมื่อมีร่องหลุมลึกมากขึ้น เชื้อโรคก็จะเจริญเติบโตหรือมีเศษอาหารไปติดได้มากขึ้น ซึ่งทำให้ต่อมทอนซิลมีเชื้อโรคสะสมอยู่ตลอดเวลา บวกกับถ้าคนนั้นร่างกายอ่อนแอเพราะนอนดึก ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เชื้อที่มีอยู่แล้วในต่อมทอนซิลก็อาจจะอักเสบขึ้นมาได้

คนที่มีอาการป่วยแบบเฉียบพลัน จะมีอาการเจ็บคอ มีไข้ และเวลากลืนน้ำลายจะเจ็บร้าวไปที่หูกินอาหารไม่ลง อ่อนเพลีย ในเด็กเล็กมาก ๆ ก็จะร้องไห้แล้วน้ำลายไหลทางมุมปากไม่หยุด และมีไข้ตัวร้อน บางคนเป็นมากหนองจะลุกลามไปรอบ ๆ ต่อมทอนซิล ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณคอตึงตัว ทำให้อ้าปากไม่ขึ้น หมอจึงต้องเจาะหนองออกมา

ดูแลตัวเองได้ไหม หรือต้องไปพบแพทย์เท่านั้น

ถ้าเป็นไม่มาก แค่ติดเชื้อไวรัสอาจจะรอดูอาการสัก 2-3 วัน โดยดื่มน้ำให้มาก ๆ นอนพักผ่อนให้เพียงพอก็จะดีขึ้น แต่ถ้า 2-3 วันแล้วยังไม่ดีขึ้นแสดงว่าติดเชื้อแบคทีเรียเข้าให้แล้ว ดังนั้น ควรต้องได้รับยาฆ่าเชื้อ ซึ่งไม่อยากให้ซื้อกินเอง ควรไปพบแพทย์จะดีกว่า

รักษายังไงดี

ถ้าเป็นเชื้อแบคทีเรียแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ไข้ และยาแก้เจ็บคอ ถ้าหากปล่อยให้เรื้อรังเชื้อโรคอาจเข้าสู่กระแสเลือดทำให้ลิ้นหัวใจอักเสบเกิดโรคหัวใจรูมาติก หรือกรวยไตอักเสบ ฯลฯ ได้ ฉะนั้น ถ้ารอดูสัก 2-3 วันแล้วยังเจ็บคออยู่ ควรรีบมาพบแพทย์ว่าเป็นทอนซิลอักเสบ หรือทอนซิลเป็นหนองหรือเปล่า โดยผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด 4-5 วันแรกแพทย์จะให้กินอาหารเหลวเย็น หลังจากนั้นถ้านัดมาตรวจอีกสัปดาห์หนึ่งแล้วไม่เจ็บแผลมาก แพทย์จะเริ่มให้กินอาหารอ่อน ๆ เหลว ๆ ที่ไม่ร้อน เพราะการกินอาหารร้อนจะทำให้เส้นเลือดจะขยายตัว เกิดเลือดออกหลังการผ่าตัดได้ แต่พอครบสองสัปดาห์ก็จะกินอาหารได้ปกติทุกอย่าง และกลับไปทำงานได้ ซึ่งคนที่แข็งแรงก็อาจจะกลับไปทำงานได้ภายในสัปดาห์แรก

ถ้าผ่าตัดแล้วจะป่วยบ่อยไหม

ต่อมทอนซิลมีความสำคัญสำหรับเรื่องภูมิคุ้มกันในร่างกายของเด็กวัย 1-10 ปี แต่หลังจากนั้นระบบอื่น ๆ ในร่างกายจะทำหน้าที่ป้องกันโรคแทนต่อมทอนซิล ฉะนั้น ถ้าผู้ป่วยมีอาการต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ควรได้รับการผ่าตัด ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักสงสัยว่า ถ้าผ่าตัดแล้วจะป่วยบ่อยขึ้นมั้ย หรือเสียงจะเปลี่ยนไปมั้ย ตรงนี้ขอฟันธงว่าผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังการผ่าตัด และเสียงก็ไม่มีทางเปลี่ยน เพราะต่อมทอนซิลไม่เกี่ยวกับการออกเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น

เพราะอะไรแพทย์ตะวันตกจึงไม่นิยมผ่าตัด

แพทย์ตะวันตกบางรายเท่านั้นที่ไม่นิยมให้มีการผ่าตัด แต่ส่วนใหญ่ที่แพทย์เจอคนไข้ 50% ที่เป็นคนต่างชาติล้วนเคยผ่านการผ่าตัดต่อมทอนซิลมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งในความคิดแพทย์แล้วเห็นว่า ถ้าจำเป็นต้องผ่าตัดจริง ๆ ก็ไม่เสียหายอะไรเพราะการที่ต่อมทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ ก็จะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคไปตลอด ฉะนั้น การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกจะเป็นเรื่องที่ดีมากกว่า

สำหรับเด็กที่ป่วยเป็นต่อมทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ ต่อมทอนซิลที่คอก็จะโต และต่อมทอนซิลที่อยู่ตรงโพรงหลังจมูก (Adenoid) ก็จะโตตามไปด้วยตนขวางระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจไม่สะดวก ในรายที่กรนหรือหยุดหายใจขณะหลับฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) จะหลั่งได้ไม่เต็มที่ ซึ่งทำให้เด็กแคระแกรนได้

ทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ จะพัฒนาเป็นมะเร็งไหม

จากการศึกษาไม่พบว่าการป่วยเป็นทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ จะพัฒนาเป็นมะเร็งได้ ในทางกลับกัน คนที่สูบบุหรี่จะพัฒนาเป็นมะเร็งได้ง่าย เช่น มะเร็งในจมูก มะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งในคอ มะเร็งในช่องปาก ไปจนถึงมะเร็งปอด ฯลฯ

อย่างที่บอกว่าต่อมทอนซิลเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ถ้าเมื่อใดที่ต่อมนี้กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคแล้วล่ะก็ การผ่าตัดทิ้งไปก็ไม่เสียหายอะไรหรอกค่ะ

Did You Know?

ระยะหลังมีผู้ใหญ่เข้ามาผ่าตัดทอนซิลด้วยเหตุผลว่ามีกลิ่นปาก อันมีเหตุมาจากมีหนองที่ต่อมทอนซิลเพราะโครงสร้างของต่อมทอนซิลบริเวณลำคอเป็นร่องลึก จึงทำให้มีเศษอาหารตกค้างอยู่ในต่อมทอนซิลนาน ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ชอบสภาพร่องหลืบนั้นเติบโตได้ดี แต่ถ้าผ่าตัดก็แก้ปัญหานี้ได้

Be Careful!

หลังการผ่าตัด 1-2 วันแรก คนไข้อาจจะมีไข้ต่ำ ๆ แต่ถ้าหลังจากนั้นยังมีไข้อยู่ หรือมีไข้สูงตั้งแต่แรก แสดงว่าอาจเกิดการติดเชื้อ หรือขาดน้ำควรรีบไปพบแพทย์ทันที

คำแนะนำจาก นพ.ภาสกร ถาวรนันท์ แพทย์หู คอ จมูก รพ.บีเอ็นเอช

"ทำไมบางคนป่วย แต่บางคนกลับไม่เคยป่วย ก็เพราะโครงสร้างของต่อมทอนซิลในบางคนนั้นอาจมีหลุมเยอะ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้มาก นอกจากนั้น ยังเป็นเรื่องภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนคนนั้นด้วย สมมติว่าเขาพักผ่อนน้อย นอนดึกประจำ และไม่ได้ออกกำลังกายเลย เวลารับเชื้ออะไรมาก็จะป่วยได้ง่ายกว่า คนอื่นที่แข็งแรงกว่าอยู่แล้ว"


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

Monday, December 14, 2009

เพ้นท์จุก6นางแบบ 'ปฏิทินลีโอ2010' เร่าร้อน เซ็กซี่!!

Pic_52953

เผยโฉม 6 นางแบบ "ปฏิทินลีโอ2010" แล้ว นำโดย อุ้ม-ลักขณา แพม เดอะกิ๊ก ไฮโซครี เรียกเสียงครางฮือ!! ทั้งเซ็กซี่ เร่าร้อน ...

ได้ฤกษ์เผยโฉม 6 นางแบบถ่าย "ปฏิทินลีโอ2010" เรียกเสียงครางฮือ!! ของหนุ่มๆ ได้มากทีเดียว เพราะทั้ง 6 สาวมาในสภาพที่เปลือยกาย เปลือยอก ให้ "เพ้นท์" เป็นเสื้อผ้าอำพรางเรือนร่างแทน ในธีม "Body Paint" นำทีมความเซ็กซี่โดย อุ้ม-ลักขณา, แพม เดอะกิ๊ก, ไฮโซครี-พัสวีพิชญ์, แอนนา รีส นางเอกจากภาพยนตร์เรื่องปืนใหญ่จอมสลัด, มิกซ์ เจนจิรา อดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ และแอม นางแบบชื่อดังแห่งยุค


เมื่อเห็นครั้งแรกต้องบอกเลยว่าเพ้นท์ได้เนียนจริงๆ มองผ่านๆ นึกว่าสวมอาภรณ์ แต่เมื่อซูมเข้าใกล้ๆ กลับเป็นการใช้ศิลปะการเพ้นท์นำเสนอออกมาได้อย่างเซ็กซี่ และเร่าร้อนมากๆ เห็นทีหนุ่มๆ ต้องหาซื้อเก็บไว้ซะแล้ว "ลีโอ" ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ .





ข่าวและภาพจาก ไทยรัฐ
[ ... ]

Tuesday, October 20, 2009

7 ขั้นตอน ตรวจภายใน ด้วยตัวเอง.


ผู้หญิงอย่างเราๆ เมื่ออายุย่างเข้าเลข 3 ก็ควรต้องเริ่มดูแล หมั่นคอยไปตรวจสุขภาพภายในบ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงล่าง อย่างอวัยวะเพศ ที่แสนจะบอบบาง ยิ่งช่วงนี้อย่างที่เรารู้กันดีว่า.. โรคมะเร็งปากมดลูก โรคที่กำลังมาแรง และได้ทำลายชีวิตผู้หญิงกันไปหลายคนแล้ว ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการรักษาโรคนี้ ฉนั้นเราจึงต้องหมั่นดูแลคอยตรวจภายในอยู่เป็นประจำทุกปีนะค่ะ

วันนี้เราเลยมีเทคนิค การตรวจภายในช่องคลอดเบื้องต้นด้วยวิธีง่ายๆ และสะดวก แต่จะช่วยให้เพื่อนๆ รู้ และรักษาอาการผิดปกติบริเวณจุดซ่อนเร้นของเพื่อนๆ ได้อย่างทัน ท่วงที ถ้าพบ! กับ 7 ขั้นตอน ตรวจภายใน ด้วยตัวเอง.

1. ล้างมือให้สะอาดก่อนเริ่มตรวจ จากนั้นจัดท่าของตัวเองว่าจะนั่งหรือนอนอย่างไรให้เห็นอวัยวะเพศของตัวเอง ได้ดีที่สุด อาจจะนอนชันเข่าหลังพิงฝาโดยใช้หมอนหนุนหลัง หรือนั่งยองๆ นั่งคุกเข่า ท่าใดท่าหนึ่งก็ได้ที่คิดว่าสะดวกที่สุด

2. หากระจกที่สามารถใช้ถือดูอวัยวะเพศของคุณมา 1 บาน

3. ให้ใช้มือข้างที่ถนัดแยกแคมใหญ่ทั้งสองข้างออกจากกัน แล้วมองและคลำดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น ก้อน ตุ้มแข็ง ตุ้มน้ำ แผล รอย บวม หรือมีบริเวณที่สีเปลี่ยนไป คล้ำมากหรือแดงมากหรือไม่

4. จากนั้นใช้นิ้วแยกแคมเล็กออกจากกันตรวจหาความผิดปกติต่างๆ แบบเดียวกับขั้นตอนที่ 3 แล้วตรวจดูที่บริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะว่ามีอาการบวมแดงหรือเปล่า และใช้มือดึงรั้งผิวหนังที่คลุมบริเวณคลิตอริสขึ้นไป เพื่อตรวจดูว่ามีแผลหรือไม่

5. ใช้นิ้วมือสองนิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอดแล้วกดแยกหนังช่องคลอดออกจากกัน สังเกตตกขาวใน ช่องคลอด ถ้าเป็นสีขาวขุ่น เป็นมูกเหนียวหรือมูกใส มีกลิ่นคราวเล็กน้อย แสดงว่าเป็นตกขาวปกติ แต่ถ้ามีลักษณะคล้ายคราบนมที่เด็กแหวะออกมา และมีอาการคันด้วย แสดงว่าอาจมีเชื้อราหรือเชื้อพยาธิในช่องคลอด ถึงเวลาที่ต้องไปพึ่งคุณหมอสูติฯ แล้วล่ะ

6. ใช้นิ้วมือคลำบริเวณส่วนล่างของ แคมใหญ่ทั้งสอง โดยให้นิ้วมือหนึ่งอยู่ในช่องคลอด และอีกนิ้วหนึ่งอยู่ที่ส่วนล่างของแคมใหญ่ ดูว่ามีก้อนคล้ายถุงน้ำบริเวณนั้นหรือเปล่า เพราะเป็นตำแหน่งของต่อมที่สร้างมูกออกมาช่วยหล่อลื่นในช่องคลอด ซึ่งท่อที่ปล่อยมูกนี้มักเจอปัญหาอุดตันได้บ่อย ถ้าคลำได้เป็นก้อนนิ่มๆ ล่ะก็อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้อักเสบเป็นหนองได้

7. สุดท้ายตรวจบริเวณฝีเย็บและรูทวารว่ามีก้อนเนื้อที่เรียกว่า ริดสีดวงทวาร หรือเปล่า ถ้ามีก็รีบปรึกษาหมอว่าจะมีวิธีรักษาอย่างไร ไม่อย่างนั้นจะลำบากเวลาขับถ่าย

แหล่งที่มา:
http://www.thiswomen.com/Health/7-id2095.aspx
[ ... ]

ผลไม้ใกล้ตัวที่กินแล้ว... "อ้วน"


เพื่อนๆ รู้หรือไม่ว่า.. ผลไม้ที่อยู่ในมือเรานั้น นอกจากมีประโยชน์ แล้วก็อาจทำให้เรา "อ้วน" ได้โดยไม่รู้ตัวนะจ๊ะ แล้วถ้าใครคิดจะ ลดเชฟละก็ อย่าคิดว่าผลไม้จะช่วย ลดหุ่นได้เสมอ

การกินผลไม้ กินแล้วดี มีประโยชน์มากมาย แต่บางครั้งก็ต้องเลือกกิน และกินในปริมาณที่พอดี เพราะมีผลไม้บางชนิดที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจจะทำให้ "อ้วน" ได้ แล้วผลไม้อะไรบ้างละที่กิน แล้วจะอ้วนสุดๆ

ผลไม้ที่กิน แล้วอ้วนสุด ๆ คือ กล้วยไข่

อันดับ 2 คือ กล้วยน้ำว้า

อันดับ 3 คือ ขนุน

อันดับ 4 คือ กล้วยหอม

อันดับ 5 คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

อันดับ 6 คือ ลำไยกะโหลกเขียว

อันดับ 7 คือ ลองกอง

อันดับ 8 คือ เงาะ

อันดับ 9 คือ ลางสาด

อันดับสุดท้ายน้ำตาลน้อยสุด คือ ละมุด

แต่ ทุเรียน ก็เป็นผลไม้ ที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำตาลสูงมาก ๆ ใครที่กินรับรองอ้วนแน่ ส่วนผลไม้ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ได้แก่ แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วงดิบ มะละกอ และ แตงโม รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากอ้วนจนเกินไป ลองหาผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วนมากินกันได้.

แหล่งที่มา:
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=66435&NewsType=2&Template=1
[ ... ]

ดื่มหนัก.. อยากแก้ "แฮงค์" ฟังทางนี้


ช่วงเทศกาลวันหยุดยาวๆ ปีใหม่นี้.. ที่หลายๆ รอคอยกันมานาน หลังจากทำงานกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อยตอนทั้งปี และมักจะต้องเฉลิมฉลองกันยกใหญ่

แน่ล่ะโดยเฉพาะนักดื่มทั้งหลาย คงต้องเมากันไปเป็นแถบๆ จนทำให้รุ่งขึ้นตื่นมาเกิดอาการแฮงค์ขึ้นมาในฉับพลัน มามะ วันนี้เรามีเทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยให้เพื่อนๆ ไม่แฮงค์เมื่อดื่มแอลกอฮอร์มาฝากด้วยล่ะ

- อย่าให้ท้องว่างก่อนการเริ่ม "ดริ๊งค์"

ก่อนที่จะเริ่มต้นดริ๊งค์แอนด์แดนซ์ล่ะก็ ให้หาอะไรทานรองท้องไปก่อน เพราะหากเพื่อนๆ ดื่มแอลกอฮอร์ทั้งๆ ที่ท้องว่าง เพื่อนๆ จะเมาเร็วกว่าเดิมมากทีเดียว แนะนำว่าอาหารที่มันๆ หน่อยจะดีกว่า

- อย่าหักโหม เริ่มดื่มแต่น้อย.. ในขณะออกตัว

ต้องรู้ตัวเองว่า.. เพื่อนๆ เองดื่มได้เท่าไหร่ อย่าหักโหม ดื่มตั้งแต่ช่วงแรกๆ เพราะนั่นจะทำให้ยิ่งเมาคอพับคออ่อนได้เร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้การใช้วิธีจิบไปเรื่อยๆ ก็เวิร์คกว่า เพราะจะทำให้เพื่อนๆ อยู่ได้นานมากกว่า กระดกรวดเดียวหมดเป็นไหนๆ ที่สำคัญอย่าดื่มแอลกอฮอร์คนละประเภท เช่นดื่มเบียร์แล้วไปต่อด้วยไวน์ ดื่มเหล้าขาว แล้วไปต่อแชมเปญ อะไรทำนองนี้ เพราะจะยิ่งทำให้เราแฮงค์เร็วทีเดียว

- อย่ารับของจากคนแปลกหน้า (แม่สอนไว้..)

อันนี้สำหรับสาวๆ ต้องระวังอย่างมาก นั่นก็คือ อย่ารับเหล้าที่คนอื่น (ที่ไม่ใช่เพื่อนในกลุ่ม) สั่งให้ หากเขาอยากชนแก้วกับเราให้ใช้แก้วที่อยู่ในมือเราดีที่สุด และพึงระวังแก้วบนโต๊ะให้ดีๆ ด้วยค่ะ

แต่หากว่า.. ไม่ว่าจะแนะนำยังก็แล้วแต่ สุดท้ายวันรุ่งขึ้นหลังปาร์ตี้ปีใหม่จบลง เพื่อนๆ ยังคงแฮงค์อยู่ดี วิธีนี้สิค่ะ แจ่ม ฝานเนื้อมะนาวทั้งลูก หรืออย่างน้อยๆ ครึ่งลูกก็ได้ กินเข้าไปเลยค่ะ รับรอง จี๊ดขนาดนี้ไม่หายแองค์ก็ให้มันรู้กันไปสิคะ

อ้อ...ลืมไปที่สำคัญ ก็ควรดื่มแต่พอดีนะค่ะ หรือถ้าเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ได้ ก็จะดีต่อสุขภาพนะค่ะ แล้วยังเป็นการเริ่มปีใหม่ที่ดีสำหรับเพื่อนๆ เองด้วย. (เมาไม่ขับนะค่ะ..)

แหล่งที่มา:
http://variety.teenee.com/foodforbrain/12740.html
[ ... ]

Zapi ฆ่าเชื้อโรคบนแปรงสีฟัน ด้วยแสง UV


แปรงสีฟันเมื่อใช้เสร็จแล้ว มีใครเอาไปตากแดดให้แห้งไหมคะ?? (ไม่น่าจะมีนะ) ส่วนมากมักจะวางกันไว้ในห้องน้ำ ใส่กระบอกหรือที่แขวนแปรงไว้ก็แล้วแต่สะดวก ปล่อยให้ความชื้นเกาะอยู่กับแปรงสีฟันเป็นนาน กว่ามันจะแห้งเอง (หรือไม่แห้งก็ไม่รู้??!!) แล้วเมื่อจะใช้อีกครั้งก็มักจะบีบยาสีฟันใส่แปรง แล้วยัดเข้าปากกันเลย

เพื่อนๆ ทราบไหมคะว่า.. ความชื้นในแปรงสีฟัน ก็อาจก่อให้เกิดเชื้อโรคสะสมได้ (*_*) Zapi จึงเกิดมาเพื่อช่วยกำจัดเชื้อโรคของแปรงสีฟันค่ะ แค่แหย่หัวแปรงสีฟันลงไป กดปุ่มเปิดเพียงปุ่มเดียว แสง UV ใน Zapi จะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ถึง 99.99% โดยในระหว่างที่ฆ่าเชื้อโรค เจ้าไข่นี้จะสั่น (เขย่า) ไปด้วย แล้วเมื่อเวลาผ่านไป 7 นาที ก็จะปิดตัวเองอัตโนมัติ

ง่ายๆ เพียงเท่านี้ เพื่อนๆ ก็จะมีแปรงสะอาดปราศจากเชื้อโรคไว้ใช้งาน และเมื่อแปรงสะอาดแล้วก็.. อย่าลืม!!.. ทำปากให้สะอาด ด้วยการแปรงฟัน เช้าหลังตื่นนอน และก่อนเข้านอนทุกคืนนะคะ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของช่องปากค่ะ (^0^)

ps. เรื่องการติดเชื้อในช่องปากไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพื่อนของทาโกะเล่าให้ฟังว่า.. คนรู้จักของเค้าตายเพราะไม้จิ้มฟันอันเดียว (ไม่รู้ทาโกะโดนอำหรือเปล่าเนี่ย T_T) เพราะว่าใช้ไม้จิ้มฟัน แล้วโดนเหงือกเป็นแผล แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจ ปรากฏว่าแผลติดเชื้อรุนแรงจนเสียชีวิตเลยค่ะ (เหวอ..อ~)

via : dentist.net

แหล่งที่มา:
http://craziestgadgets.com/2009/01/08/zapi-uv-toothbrush-sanitizer-rocks-the-germs-out/
[ ... ]

เคล็ดลับดีๆ กับวิธีป้องกันไม่ให้ผมร่วง


เพื่อนๆ เป็นคนนึงที่ขี้ใจน้อยอะป่าวคะเนี่ย ระวังผมจะค่อยๆร่วงจนหัวล้านนะคะ เหมือนที่เค้าว่า "คนหัวล้านขี้ใจน้อยงะ" แล้วใครที่กำลังรู้ตัวว่า.. ตอนเนี่ยผมกำลังร่วงง่าย ร่วงเยอะอยู่ ละก็ วันนี้เรามีวิธีป้องกันไม่ให้ผมร่วงมาบอก...

การป้องกันไม่ให้ผมร่วง

1. เลือกรับประทานอาหารและของที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม เช่น ธัญพืช, ข้าวกล้อง, งาดำ, เมล็ดทานตะวัน, ฟักทอง

2. ควรนวดหนังศรีษะเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพื่อบำรุงรากผมบ้าง

3. ควรทำความสะอาดผมอย่างสม่ำเสมอ

4. ควรใส่ครีมบำรุงผม ทุกครั้งที่สระผม

5. ควรรับประทานแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อรากผม เช่น Biotin ไบโอติน หรือ Vitamin H จัดเป็นวิตามินชนิดหนึ่งในกลุ่มวิตามิน บี จำเป็นสำหรับขบวนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย ซึ่งช่วยบำรุงผิวหนัง ผม กล้ามเนื้อ และประสาท อาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน ได้แก่ ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิรต์ ผักต่าง ๆ โดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กระหล่ำปลี เห็ด และแครอท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับปริมาณของวิตามินที่ร่างกายต้องการในแต่ละ วัน

สำหรับสาเหตุที่ร่างกายอาจขาดไบโอติน คือ การรับประทานไข่ขาวดิบในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน ๆ อันเนื่องมาจากใน "ไข่ขาว" มีสารที่จะทำลายไบโอติน เมื่อร่างกายเกิดอาการขาดวิตามินนี้ก็จะทำให้เกิดเป็นโรคผิวหนัง ผิวหนังมีสีเทา อ่อนเพลีย โลหิตจาง มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่าปกติ

อีกตัวคือ Zine เป็นแร่ธาตุที่เมื่อร่างกายขาดจะทำให้ผมร่วง

ถ้าไม่อยากผมร่วง ก็อย่าลืมทำตามคำแนะนำกันได้นะคะ.

แหล่งที่มา:
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=68397&NewsType=2&Template=1
[ ... ]

Thursday, October 8, 2009

"ยาเม็ดกินลดความอ้วน" มีวางจำหน่ายแล้วในรูปแบบยาสามัญประจำบ้าน

อ้าว... สาวๆ ตุ้ยนุ้ยฟังแล้ว คงเตรียมหาซื้อกันยกใหญ่ กับ "ยาเม็ดลดความอ้วน" โดยไม่ต้องคอยควบคุมอาหารการกินอย่างเดียว มีวางขายแล้วตามร้านขายยาทั่วไปในอังกฤษ

ยาลดน้ำหนักชื่อว่า Alli ถูกวางจำหน่ายในรูปแบบยาสามัญประจำบ้าน ที่สามารถจำหน่ายได้ทั่วไปโดยไม่ต้องให้แพทย์ออกใบสั่งยา ซึ่งวางคู่กับหนังสือคู่มือการบริโภคอาหารในปริมาณที่เพียงพอ
การออกกำลังกาย และการนับแคลอรี

ยา ออกฤทธิ์โดยการขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึมไขมัน เหมาะกับผู้ที่มีดัชนีมวลกายเกิน 28 ขึ้นไป หากผู้ที่มีน้ำหนักเกินสนใจอยากที่จะซื้อมันมากิน จะเสียค่ายาประมาณเดือนละ 3,000 บาท

บริษัทยาแกลกโซสมิธไคลน์ (GlaxoSmithKline) ผู้ผลิตอ้างว่า.. ในการทดลองยาตามสถานพยาบาล ยาได้ช่วยให้ลดน้ำหนักตัวลงได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง ยิ่งกว่าการควบคุมอาหารแต่เพียงอย่างเดียว ผู้ที่ใช้ยานี้หากยังขืนกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันอยู่อีก จะต้องประสบกับอาการอันไม่พึงประสงค์ ตั้งแต่ท้องร่วง และเกิดก๊าซในกระเพาะ

ทางสมาคมแพทย์วิทยาลัยหลวงของอังกฤษ ได้แนะนำว่า... เนื่องจากหลายคนอาจจะเกิดอาการข้างเคียงที่ทรมานมาก จึงขอแนะนำให้ใช้ยา โดยควรจะขอคำแนะนำจากแพทย์เสียก่อน

แหล่งที่มา:
http://www.thairath.co.th/content/tech/3975
[ ... ]

ระวัง! ผู้ชายที่ดูรูปโป๊บ่อยๆ จะทำให้สมองชินชา

หากเพื่อนๆ เป็นคนที่ชอบดูรูปประเภทแบบว่า.. วับๆ แวมๆ ของสาวๆ ที่นุ่งน้อยห่มน้อยอยู่บ่อยๆ
ระวัง!!! จะกลายเป็นคนที่โรคสมองชินชาได้นะจ๊ะ

ทางนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยปรินซ์ตันที่อเมริกา ได้พบว่า.. การได้ที่เห็นรูปผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยบ่อยๆ ทำให้สมองผู้ชายบางคนชินชา เมื่อมองเห็นแล้วรู้สึกเหมือนกับเห็นเป็นสิ่งของธรรมดาไปซะงั้น

จากการศึกษาทดลองกับผู้ชาย โดยให้ดูรูปสาวๆ ในชุดอาบน้ำบิกินี พร้อมกับใช้เครื่องตรวจสแกนสมองไปด้วย พบว่าในผู้ชายบางคนจะมีสมองส่วนที่ แสดงปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าที่มีต่อสิ่งของจนทำให้ตื่นเต้น แต่กับผู้ชายคนที่รู้กันว่าเป็นคนเจ้าชู้ ซึ่งแต่ก่อนเมื่อได้เห็นรูปโป๊ ส่วนของสมองเคยแสดงความตื่นเต้น แต่คราวนี้กลับนิ่งเฉย

อาจารย์ซูซานกล่าวว่า... เครื่องตรวจสแกนสมองแสดงให้เห็นว่า ปฏิกิริยาของผู้ชายที่มีต่อรูปภาพ เป็นปฏิกิริยาของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งของ ไม่ได้เป็นปฏิกิริยาที่มีต่อมนุษย์ที่เป็น 3 มิติเต็มตัวเลย” เป็นเพราะความเคยชิน ซึ่งต้องโทษที่สังคมถูกถล่มปูพรมด้วยรูปสาวโป๊ๆ อยู่อย่างไม่ขาดสาย ทำให้ปฏิกิริยาของสมองของผู้ชายบางคน ที่มีความรู้สึกอย่างที่มีกับมนุษย์เฉื่อยชาลงไป และเทียบได้ว่า.. เป็นแบบเดียวกับความรุนแรงที่พบเห็นกันอยู่ ในทีวี ก็เคยมีการศึกษาพบว่า.. "ทำให้คนจะรู้สึกชินชา กับเรื่องร้ายแรงต่างๆ ได้เช่นกัน"

จึงพูดได้ว่า.. ผู้ชายที่ดูบางคนอาจเกิดความชิน เมื่อเห็นภาพโป๊เหล่านี้ เพราะคิดว่าเป็นแค่สิ่งของชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นแค่ภาพไม่ใช้ผู้หญิงตัวจริงๆ ที่เป็น 3 มิติ สามารถจับต้องลูบคลำเนื้อหนังได้ สมองเลยไม่สั่งการให้เกิดความตื่นเต้น หรือรู้สึกใดๆ

แหล่งที่มา:
http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=128217
[ ... ]

เสริมเต้าด้วย "สเต็มเซลล์" เพิ่มอึ๋ม!! แบบธรรมชาติเหมือนนมจริง

สาวอกเล็กเตรียมเฮ... เสริมนมให้บึ้ม!! เป็นแบบธรรมชาติไม่ต้องพึ่งของเทียม อย่างซิลิโคนที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน หลังพบเทคนิคพิเศษเสริมหน้าอกให้ใหญ่ขึ้นด้วยสเต็มเซลล์

โรงพยาบาล พรินเซสเกรซ ประเทศอังกฤษ จะเปิดให้บริการเสริมหน้าอกให้ใหญ่ขึ้น และดูเป็นธรรมชาติแก่ผู้สนใจด้วยการใช้สเต็มเซลล์ ซึ่งเทคนิคนี้คิดค้นโดยแพทย์ชาวญี่ปุ่น

วิธีการคือ นำสเต็มเซลล์จากไขมันบริเวณพุง หรือต้นขา นั้นนำมาเลี้ยงในหน้าอก ซึ่งจะทำให้หน้าอกใหญ่เป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนกับการเสริมอกด้วยซิลิโคนที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน แต่ข้อจำกัดคือ การทำสเต็มเซลล์ครั้งหนึ่งสามารถทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นแค่ 1 คัพเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเทคนิคก้าวหน้ามากกว่านี้ก็น่าจะทำให้หน้าอกขยายมากกว่านั้นได้

ศ. คีฟาห์ ม็อกเบล กล่าวว่า "เราใช้วิธีนี้ในการเสริมหน้าอกให้กับผู้ป่วยที่ต้องตัดหน้าอกออกเพราะโรค มะเร็ง ซึ่งมีชาวอังกฤษเข้ารับการผ่าตัดหน้าอกโดยใช้สเต็มเซลล์แล้วสิบกว่าคน แต่เรากำลังจะเริ่มทดลองใช้วิธีนี้ในคนปกติโดยได้อาสาสมัครแล้ว 30 คน และปลายปีนี้น่าจะเปิดให้บริการผ่าตัดให้กับผู้สนใจได้ คาดว่าค่าใช้จ่ายน่าจะอยู่ที่ 3.25 แสนบาท"

การเสริมหน้าอกด้วยสเต็มเซลล์นั้นดูเป็นธรรมชาติ เนื่องจากเนื้อเยื่อมีความอ่อนนุ่มเช่นเดียวกับหน้าอกส่วนอื่น ขณะที่ซิลิโคนมีความแข็ง และใช้ไปนานๆ ต้องเปลี่ยนทั้งยังมีโอกาสรั่วได้

แหล่งที่มา:
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNVEEyTURVMU1nPT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBd09TMHdOUzB3Tmc9PQ==
[ ... ]

สาวสวย กับผักและผลไม้ทั้ง 7

เคยแต่ได้ยินนิทาน.. สโนไวท์กับคนแคระทั้ง 7
ตามนิทานคนแคระช่วยสโนไวท์ได้ค่ะ แต่ไม่ได้ช่วยให้สวยขึ้นนะคะ
เพราะความสวยนั้น หากไม่มีติดตัวมาแต่เกิด ก็สร้างขึ้นด้วยตัวเองได้
ถึงหน้าไม่สวย แต่ผิวสวย และดูอ่อนกว่าวัยย์ก็ยังดีค่ะ (^0^)

แล้วผักและผลไม้จะช่วยสาวสวยได้อย่างไร??!! ก็ด้วยการกินไงคะ
อาหารการกินช่วยเราได้นะคะ ดังคำกล่าวที่ว่า..
You are what you eat (หวังว่าทาโกะคงจะไม่ได้จำผิดนะ ^^'')
แปลง่ายๆ ว่า คุณกินอะไรคุณก็เป็นอันนั้นแหล่ะ กินดีก็ส่งผลดีแก่ตัวเอง
กินดีไม่ใช่กินแพง หากแต่เป็นการกินของมีประโยชน์ต่อร่างกายต่างหาก
ซึ่งผักและผลไม้ทั้ง 7 ที่ทาโกะจะแนะนำในวันนี้สามารถช่วยให้ผิวของเพื่อนๆ ดูดี
(มีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง สวยสด งดงาม) และช่วยชะลอความแก่ได้เป็นอย่างดีค่ะ

1. ลูกพรุน (Prunes)
โปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ แล้วยังช่วยให้ผิวของเพื่อนๆ มีเลือดฝาด
(ออกแนวหน้าตาผ่องใส และแก้มแดงนั่นล่ะ) หากทานลูกพรุนสดๆ เป็นประจำละก็..
จะเห็นผลปากแดง แก้มแดง โดยไม่ต้องพึ่งสำอางค์เลยทีเดียว
แต่ระวังหน่อยนะคะ เพราะว่าลูกพรุนนั้น มีฤทธิถ่ายท้องด้วยค่ะ

2. ถั่ว
อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี และยังมีไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำสูง
ซึ่งจะช่วยให้เพื่อนๆ อิ่มเร็ว และอิ่มนาน ทำให้ความอยากอาหารลดลง
เหมาะกับเพื่อนๆ ที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก
แต่ระวังหน่อยนะคะ เพราะว่าถั่วนั้น มีฤทธิให้ผายลม (ปู้ดๆ~)

3. บรอคโคลี่
อุดมไปด้วยซีลีเนียม ซึ่งจะช่วยให้ผิวของเพื่อนๆ ยืดหยุ่นดี
ส่งผลให้ดูอ่อนกว่าวัย ผิว (หนังไม่เหนี่ยว) นุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวล
และลดริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

4. กล้วยไข่
อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีฤทธิต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยให้พวกเราต้านความแก่ได้ค่ะ

5. ฝรั่ง
อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยสร้างคอลลาเจน
ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าแต่งตึงไม่เหี่ยวย่น จนดูแก่ก่อนวัย

6. แอปเปิ้ล
อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ (เช่นเดียวกับถั่ว)
มีน้ำตาลที่ดูดซึมไปให้พลังงานได้รวดเร็วอยู่สูง เวลาหิวๆ ก็คว้าแอปเปิ้ลขึ้นมาทานเลยค่ะ
ให้พลังงานแบบด่วน ลดความอ่อนเพลีย และอิ่มเร็ว แถมการทานแอปเปิ้ล 2 - 3 ผลต่อวัน
ยังช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะไฟเบอร์ในแอปเปิ้ล
จะไปดักจับโคเลสเตอรอลและพาไปทิ้ง ก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกาย

7. ส้ม
อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ กากใยจากส้มจะช่วยให้อิ่มเร็ว
เหมาะสำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการลดน้ำหนัก คว้าส้มขึ้นมาปอกใส่ปากซะเลย
ลดความหิว หรือตัดกำลังลดปริมาณอาหารที่จะกินในหนึ่งมื้อได้ดีทีเดียวค่ะ

สำหรับปริมาณของการทานผักผลไม้ที่แนะนำจากสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกา
คือ ใน 1 วัน ควนทานผักผลไม้รวมกันให้ได้ 1/2 กิโลกรัม หรือ 5 ขีด
จะช่วยให้เพื่อนๆ มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และดูสดใส มีชีวิตชีวาค่ะ
ผักผลไม้อื่นนอกจากนี้ก็มีประโยชน์เช่นกันนะคะ แต่ทาโกะเห็นว่าผักและผลไม้ทั้ง 7 นี้
หาซื้อได้ง่าย ทานก็ง่าย และราคาก็ไม่แพงอีกด้วย สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการมีสุขภาพแข็งแรง
ดูดี และสวยได้ด้วยตนเอง นำไปทดลองกันดู และเมื่อสวยจากภายนอกแล้ว
อย่าลืม!! สวยจากภายในด้วยการมีจิตใจที่ดีด้วยนะคะ ( ^^ )

ภาพ : http://www.sxc.hu
via : สสส. หนังสือเภสัชโภชนา โดย ภก. สรจักร ศิริบริรักษ์

แหล่งที่มา:
http://www.thaihealth.or.th/node/9075
[ ... ]

ลดน้ำหนักด้วยการ.. ผ่าตัดเย็บกระเพาะให้เล็กลง

ตอนเป็นเด็กทาโกะเคยคิดเล่นๆ ว่า.. ตอนที่หิวบ่อยอยากกินนั่นกินนี่มากๆ
เราน่าจะไปให้คุณหมอเย็บกระเพาะเราให้เล็กลงได้นะ จะได้ไม่กินเยอะ
ไม่เปลืองดี แล้วก็ไม่อ้วนด้วย แบบว่าไม่ค่อยชอบเล่นกีฬาน่ะค่ะ (-_-'')

เวลาผ่านไปหลายปี (อย่ารู้เลยนะคะว่ากี่ปี ฮ่าๆ) ความคิดนั้นก็เป็นจริงจนได้
ด้วยฝีมือของคุณหมอ เกรกก์ นิชิ (Dr. Gregg Nishi) ศัลยแพทย์
จากศูนย์แพทย์ซีดาร์สไซนาย (Cedars-Sinai) ในลอสแองเจลลิส

วิธีก็คือสอดท่อขนาดสายยางรดน้ำต้นไม้เข้าไปทางปากลงไปทางคอ
[แค่นึกภาพตามยัง .. กลัว >.< มันน่าจะเจ็บนะคะ ถึงเค้าใช้ยาสลบก็เถอะ
มันก็ต้องมีแผลขีดข่วนบ้าง ตามทางเดินอาหารที่สอดท่อลงไปน่ะค่ะ]
แล้วใช้เครื่องยิงเย็บกระเพาะอาหารให้เล็กลง จึงทำให้กินน้อยลง เพราะจะรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น
แถมข้อดีมากๆ คือ "ไม่มีรอยแผลเป็น" อีกด้วย [ก็เค้าเย็บกระเพาะจากด้านในนี่นา]

ซึ่งผลจากการผ่าตัดกับคนไข้ในอเมริกา 200 คน และในยุโรปอีก 100 คน ดูท่าว่าจะดี
เพราะคนไข้ในยุโรป ซึ่งผ่าตัดมาได้นาน 18 เดือน มีน้ำหนักตัวลดลงถึงร้อยละ 45
แต่.. ที่เกิดอันตรายก็มีค่ะ คือ คนไข้รายหนึ่งทางเดินอาหารทะลุ แต่ไม่พบว่ามีโรคแทรกซ้อนใหญ่อื่นๆ

ถ้าการลดน้ำหนักด้วยตัวเองมันยากเกินไปสำหรับเพื่อนๆ ที่มีน้ำหนักตัวเกินพิกัดมากๆ
วิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้ลดน้ำหนักลงได้ค่ะ แต่มันคุ้มที่จะผ่าตัดหรือไม่
เพื่อนๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจคิดให้ดีก่อนเสี่ยงเจ็บตัวนะคะ

สำหรับเพื่อนๆ ที่คิดว่า..การทานให้น้อยลงมันยาก ทาโกะอยากแนะนำค่ะ
ให้ทานเฉพาะในมื้อจริงๆ แล้วก็ต้องใจแข็งด้วยเมื่อตัดสินใจว่า "ไม่กิน!!" ก็คือ "ไม่กิน!!"
แล้วก็เลือกกินให้มากขึ้นดีไหมคะ คือ เลือกกินเฉพาะที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ แบบโฆษณานึงในทีวี
ภาพเคลื่อนไหว.. ผู้หญิงกำลังคุยกันเรื่องเสื้อผ้า รองเท้า เลือกโน่นนี่ แต่กินขนมอะไรสักอย่างบนโต๊ะ
ขนมอยู่ในเป็นถุงสีขาวไม่มียี่ห้อเลย แล้วคุณผู้ชายโต๊ะตรงข้ามที่มองดูอยู่เค้าทนไม่ได้
เลยเดินมาบอกว่า.. "เลือกจัง (หมายถึงพวกเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า) แต่เรื่องกินทำไมไม่เลือก"
มันโดนใจคนชอบกินแบบทาโกะจังค่ะ ชอบมากเลยยย~ ( ^^ )

ภาพ : http://www.sxc.hu
via :
http://www.thairath.co.th/content/tech/11334

แหล่งที่มา:
http://www.msnbc.msn.com/id/31090449
[ ... ]

มารู้จักสารในสีของผัก และผลไม้ที่เราทานกัน

หลายคนคงเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไม..ผัก และผลไม้ถึงมีสีสันที่แตกกันทั้งสีเขียว สีม่วง สีเหลือง สีแดง ทราบกันหรือไมว่า..สีสวยๆของผักผลไม้เหล่านี้ ยังมีสารที่ให้ประโยชน์แตกต่างกันด้วยนะค่ะ แล้วสารที่ว่าจะอยู่ในผักผลไม้สีอะไรบ้างนั้นต้องตามมาดูกัน>>>

@ คาโรทีนอยด์ @

คาโรทีนอยด์ คือ เม็ดสีเหลือง แสด ที่ละลายในไขมัน ในผักใบเขียว คาโรทีนอยด์อยู่ในคลอโรพลาสต์ ซึ่งมีคลอโรฟิลล์อยู่ด้วย สีเขียวของคลอโรฟิลล์จะกลบสีเหลืองของคาโรทีนอยด์จนมองไม่เห็น

คาโรทีนอยด์เป็นสารพวกไฮโดรคาร์บอนชนิดไม่อิ่มตัว ส่วนใหญ่ประกอบด้วยคาร์บอน 40 อะตอม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แคโรทีน และเบตาแคโรทีน แคโรทีนมีคุณค่าทางโภชนาการ บางครั้งเรียกว่า โพรวิตามินเอ สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอที่ลำไส้เล็ก

การหุงต้มธรรมดาไม่มีผลต่อสี หรือคุณค่าทางอาหาร คาโรทีนอยด์ไม่ละลายน้ำทำให้เป็นการป้องกันไม่ให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ แต่เนื่องจากโมเลกุลของคาโรทีนอยด์ไม่อิ่มตัว จึงถูกออกซิไดส์ได้ เมื่อทิ้งให้ถูกอากาศนานๆ จะทำให้สูญเสียวิตามินเอ และทำให้คาโรทีนอยด์ในอาหารตากแห้งเปลี่ยนสี วิธีป้องกัน คือ การลวกผัก และรมควันกำมะถัน หรือคลุกซัลไฟท์ ก่อนที่จะนำผลไม้ไปตากแห้ง

@ คลอโรฟีลล์ @

คลอโรฟีลล์ เป็นเม็ดสีที่ให้สีเขียวแก่พืช อยู่ในคลอโรพลาสต์คลอโรฟีลล์ใช้ในการสังเคราะห์แสงของพืช คลอโรฟีลล์ดูดพลังงานจากแสงแดดไว้เพื่อสร้างคาร์โบไฮเดรตจากน้ำ และก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์
คลอโรฟีลล์เป็นโมเลกุลใหญ่ ในพืชที่ใช้เป็นอาหาร พอคลอโรฟีลล์เอ และบี ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับฮีโมโกลบินในเลือด มีข้อต่างคือ ฮีโมโกลบินมีเหล็ก แต่คลอโรฟีลล์มีแมกนีเซียม เมื่อได้รับความร้อนไฮโดรเจนจะเข้าไปแทนที่แมกนีเซียมในโมเลกุลของ คลอโรฟีลล์ได้ง่าย จะได้สารที่ชื่อว่าฟิโอไฟติน ซึ่งมีสีเขียวอมน้ำตาล

เมื่อแมกนีเซียมถูกแทนที่แล้ว จะเติมแมกนีเซียมกลับเข้าไปในโมเลกุลอีกยาก แต่การเติมเกลืออาซีเตค ของเหล็กสังกะสีและทองแดง จะช่วยให้สีเขียวสดใหม่ แต่วิธีนี้ไม่ใช้กันในการหุงต้มผัก เพราะคลอโรฟีลล์ไม่ละลายน้ำ น้ำต้มผักใบเขียวจึงมีสีเขียวเพียงเล็กน้อย คลอโรฟีลล์ที่บริสุทธิ์สามารถถูกทำลายด้วยไขมัน เมื่อใส่ผักใบเขียวลงในน้ำเดือด จะเขียวสด และดูใสขึ้นเพียงพักเดียว ต่อมาจะกลายเป็นสีอมเหลือง

@ ฟลาโวนอยด์ @

ฟลาโวนอยด์ แม้เม็ดสีหลายชนิดที่จัดอยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์จะมีสูตรโครงสร้างคล้ายคลึง กัน แต่ก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันมาก อาจแบ่งฟลาโวนอยด์ออกเป็นกลุ่ม 3 กลุ่มคือ แอนโธซานติน ซึ่งมีสีเหลืองนวล แอนโธไซยานิน ซึ่งมีสีม่วงแดง และแทนนินที่ไม่มีสี แต่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้ง่าย

รู้อย่างนี้แล้ว ก็หันมากินผักและผลไม้กันเยอะๆ จะดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี

แหล่งที่มา:
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=74942&NewsType=2&Template=1
[ ... ]