Sunday, November 16, 2008

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

ไม่มีพ่อ-แม่รายใดที่อยากมีลูกที่ผิดปกติ พิการแต่กำเนิด ไม่ว่าจะเกิดจากอวัยวะใดก็ตาม ยิ่งเกิดขึ้นกับหัวใจ ยิ่งฟังดูอันตราย และ น่ากลัวมาก อย่างไรก็ตามแม้ว่าการแพทย์จะเจริญรุดหน้าไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังพบความผิดปกติของหัวใจในทารกได้เสมอ เราเรียก รวมๆกันว่า โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องของธรรรมชาติที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์ 100 % มีขาด มีเกิน ผู้ที่อ่อนแอย่อมไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ แต่มนุษย์ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะเอาชนะธรรมชาติ กรณีหัวใจพิการแต่กำเนิดนี้ก็เช่นกัน ปัจจุบันหลายๆโรคสามารถผ่าตัด หรือ แก้ไข ให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นมากได้

เกิดจากอะไร ?? ปัจจุบันไม่มีคำตอบชัดเจน ทราบแต่ว่าเป็นความผิดปกติในขั้นตอนการสร้างอวัยวะตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา อาจมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส เช่น หัดเยอรมัน หรือ การที่มารดาได้รับยา สารเสพติด หรือ สารเคมีขณะตั้งครรภ์ หรือ ความผิดปกติที่โครโมโซมของเด็กเอง (เช่น กลุ่มอาการดาวน์ Down Syndrome) แต่ส่วนมากแล้วมักไม่มีสาเหตุ ทำให้เรา ไม่สามารถป้องกันได้ ส่วนใหญ่ไม่ทราบด้วยซ้ำจนกว่าเด็กจะคลอดออกมา

พบบ่อยแค่ไหน ?? ประมาณว่าเด็กที่เกิดมามีชีวิต (คือไม่นับที่แท้งก่อน หรือ เสียชีวิตทันทีหลังคลอด) จำนวน 1,000 ราย จะมีเด็กที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดประมาณ 6-8 ราย และในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ไม่มีอาการให้แพทย์วินิจฉัยได้จนกว่าจะอายุ 2-3 เดือน แต่ยังโชคดีที่ส่วนน้อยจำเป็นต้องผ่าตัดแก้ไขโดยด่วน ส่วนใหญ่ยังสามารถรอให้เด็กโตได้

มีกี่ชนิด ?? เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

กลุ่มที่เด็กตัวเขียว กลุ่มนี้เกิดจากความผิดปกติทำให้มีเลือดดำไหลไปปนกับเลือดแดง ซึ่งปกติแล้ว เลือดดำจะไม่ไหลไปปนกับ เลือดแดง ทำให้เด็กมีสี ออกเขียวๆ ม่วงแดงอ่อนๆ บางรายเห็นชัดเจนเวลาที่เด็กร้อง กลุ่ม นี้มีความผิดปกติได้หลายแบบ และ อาการค่อนข้างมาก เกือบทั้ง หมดต้องผ่าตัดแก้ไข บางรายที่เป็นรุนแรงต้องผ่าตัดแก้ไขตั้งแต่ แรกคลอด การเจริญเติบโตของ เด็กพวกนี้จะน้อยกว่าปกติมาก เพราะเลือดที่ไปเลี้ยงร่างกายมีระดับออกซิเจนต่ำกว่าปกติ มีส่วน น้อยที่สามารถเจริญเติบโต มาเป็นผู้ใหญ่ได้


กลุ่มไม่เขียว กลุ่มนี้ก็มีหลายแบบด้วยกัน อาจเกิดขึ้นกับลิ้นหัวใจ (พบน้อย) หรือ ผนังกั้นห้องหัวใจปิดไม่สนิท มีรูรั่ว (พบบ่อย) ทำให้เลือดแดงไหลไปปนเลือดดำ กรณีเช่นนี้ไม่ทำให้เกิด "สีเขียว" แต่จะทำให้เลือดไปปอดมากเกินไป และ หัวใจทำงานหนัก มากขึ้นโดยไม่จำเป็น ทำให้เกิดผลเสียต่อปอดและหัวใจในอนาคต โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ จะอยู่ในกลุ่มนี้ทั้งสิ้น อาจแบ่งชนิดที่พบบ่อยๆได้เป็น

ผนังหัวใจห้องบนมีรูรั่ว เรียกว่า Atrial Septal Defect หรือ ASD ทำให้เลือดแดงจากหัวใจห้องซ้ายบน (ซึ่งเป็นเลือดแดง ผ่านการฟอกที่ปอดแล้ว) ไหลผ่านรูรั่วมายังหัวใจห้องขวาบน (ซึ่งเป็นเลือดดำ) ผ่านลงมายังหัวใจห้องขวาล่าง และออกไปยังปอด เลือดส่วนเกินนี้หลังจากถูกฟอกที่ปอดแล้วก็จะไหลกลับมายังหัวใจห้องซ้ายบนอีกครั้ง ทำให้หัวใจรับเลือดมากขึ้นกว่าปกติ ความ ผิดปกติชนิด ASD นี้ส่วนใหญ่แล้วไม่มีอาการใดๆ อาจตรวจพบจากการตรวจสุขภาพ พบว่าเสียงหัวใจผิดปกติ หรือ เอกซเรย์ปอด พบว่าขนาดหัวใจและหลอดเลือดที่ปอดผิดปกติ หากจะมีอาการก็มักจะเริ่มที่อายุประมาณ 30 ปี อาการ คือ เหนื่อยหอบง่ายเวลา ทำงาน อย่างไรก็ตามขึ้นกับขนาดรูของ ASD ด้วย หากรูเล็กแล้วไม่ควรจะมีอาการและไม่น่าจะเกิดปัญหาในระยะยาว ในผู้ป่วย ASD ที่รูโต มีเลือดไปที่ปอดมากเป็นระยะเวลานานๆจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดที่ปอด จะหนาตัวขึ้น และ ตีบมากขึ้น เป็นผลให้ความดันในปอดสูงมากขึ้น จนในที่สุดสามารถดันเลือดดำให้ผ่านรู ASD ไปปนกับเลือดแดง และ เกิดหัวใจ ล้มเหลวตามมาได้ การเปลี่ยนแปลงทางปอดนี้หากเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ การผ่าตัดปิดรู ASD ที่ใหญ่ ตั้งแต่ยังไม่มีอาการจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ปอดได้

ผนังหัวใจห้องล่างมีรูรั่ว เรียกว่า Ventricular Septal Defect หรือ VSD ทำให้เลือดแดงจากหัวใจห้องซ้ายล่าง (ซึ่งเป็น เลือดแดง ผ่านการฟอกที่ปอดแล้ว) ไหลผ่านรูรั่วมายังหัวใจห้องขวาล่าง (ซึ่งเป็นเลือดดำ) แล้วออกไปยังปอด เลือดส่วนเกินนี้หลัง จากถูกฟอกที่ปอดแล้วก็จะไหลกลับมายังหัวใจห้องซ้ายบนและลงมาที่ซ้ายล่างอีกครั้ง ทำให้หัวใจรับเลือดมากขึ้นกว่าปกติ ความ ผิดปกติเช่นนี้แตกต่างจาก ASD เพราะมักจะมีอาการตั้งแต่เด็ก เจริญเติบโตช้า มีอาการของหัวใจล้มเหลว บางรายต้องได้รับ การผ่าตัดตั้งแต่เด็ก โชคดีที่ผู้ป่วยบางส่วนรูสามารถเล็กลงหรือปิดเองเมื่อโตขึ้น แต่หากโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู VSD มีขนาด โตและยังไม่ปิด จะก่อให้เกิดปัญหามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ปอดเสียได้บ่อย จึงสมควรได้รับการผ่าตัดปิดรูรั่ว

ASD







VSD




PDA

มีท่อต่อระหว่างหลอดเลือดแดงใหญ (Aorta) ่กับหลอดเลือดดำที่ไปเลี้ยงปอด (Pulmonary artery) ท่อนี้เรียกเป็น ภาษาอังกฤษว่า Patent Ductus Arteriosus หรือ PDA ก่อให้เกิดปัญหาได้เช่นเดียวกันกับ VSD และพบบ่อยมากในเด็กที่ คลอดก่อนกำหนด ส่วนใหญ่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือแก้ไขปิดท่อดังกล่าว

อาการ ? ขอเน้นว่าส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ดังนั้นจึงควรได้รับการตรวจสุขภาพเป็นระยะ (เนื่องจากในบางวัย อาจตรวจได้ไม่ชัดเจน) หากมีอาการก็จะเป็นอาการของภาวะหัวใจล้มเหลว คือ เหนื่อยหอบง่ายเวลาทำงาน

การรักษา แต่ละชนิดมีการรักษาที่แตกต่างกันไป หากเป็นมากส่วนใหญ่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติ ในบางโรค เช่น ASD PDA อาจมีวิธีการรักษาโดยใส่อุปกรณ์บางอย่างไปปิดรูรั่ว โดยผ่านเทคนิคการสวนหัวใจ ซึ่งได้ผลดีในเด็ก แต่ก็ไม่ได้ ทำได้ทุกราย หากปล่อยให้อาการเป็นมากขึ้นแล้ว ความดันปอดสูงมากแล้ว ไม่มีการรักษาใดๆที่จะให้กลับมาเป็นปกติได้ ในกรณี เช่นนั้น การรักษาที่ดีที่สุด (ในโลกปัจจุบัน) คือ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจและปอดไปพร้อมๆกัน ซึ่งทำได้แต่ยาก และ ไม่ค่อยมีผู้ยอม บริจาคนัก แม้จะผ่าตัดแล้วก็ยังต้องรับการรักษาไปตลอดชีวิต...

หากสงสัย ไม่แน่ใจ กรุณาตรวจสุขภาพกับกุมารแพทย์ (ผู้ป่วยเด็ก) หรือ อายุรแพทย์ อายุรแพทย์โรคหัวใจ หากมีความจำเป็นอาจจะได้รับการตรวจดูหัวใจละเอียดด้วยอัลตราซาวน์หรือที่เรียกว่า Echocardiogram ซึ่งสามารถบอกรายละเอียดของความผิดปกติได้ดี
[ ... ]

หัวใจกระโดด

หัวใจเป็นอวัยวะที่ธรรมชาติออกแบบมาอย่างดี ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อนำอาหาร ออกซิเจน ไปสู่เซลล์ของอวัยวะต่างๆ และนำพาของเสียออกจากเซลล์เหล่านั้นไปขับถ่ายออกจากร่างกาย องค์ประกอบของหัวใจส่วนใหญ่ คือ เซลล์กล้ามเนื้อทำหน้าที่บีบและคลายตัวแบ่งออกเป็น สี่ห้อง คือห้องบนซ้ายขวา และห้องล่างซ้ายขวา มีลิ้นหัวใจบังคับให้เลือดไหล ไปในทิศทางเดียว คือจากเลือดดำหัวใจห้องขวาไปฟอกที่ปอด กลับมายังหัวใจ ห้องซ้ายเป็นเลือดแดงและสูบฉีดออกจากหัวใจ ทางหลอดเลือดแดงใหญ่เอออต้า

การที่หัวใจจะทำงานได้ดีเช่นนี้ต้องมีระบบหลอดเลือดไปเลี้ยงเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เรียกกันว่า หลอดเลือดโคโรนารี่ โรคที่เกิดเเก่ หลอดเลือดโคโรนารี่ อันเกิดจากไขมันอุดตัน เป็นโรคที่พบได้บ่อย ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือถึงกับหัวใจล้มเหลว เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากนั้นยังมีระบบไฟฟ้าในหัวใจที่ทำหน้าที่ให้จังหวะ การเต้นของหัวใจให้เต้นอย่างสม่ำเสมอ และ มีเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ทำหน้าที่พิเศษนำไฟฟ้าออกจากแหล่งกำเนิดที่ให้ จังหวะการเต้นลงไปถึงยังเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจทุกเซลล์ในเวลาใกล้เคียงกัน กล่าวง่ายๆ คือมีแหล่ง ให้กำเนิด จังหวะการเต้นและสายนำไฟฟ้าไปยังเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เหมือนกับมีโรงผลิตไฟฟ้า และ มีสายไฟฟ้านำไฟจ่าย ไปตามบ้านเรือนต่างๆ

โรคอันเกิดจากระบบไฟฟ้าหัวใจก็มีหลายอย่าง ทั้งชนิดที่เกิดจากแหล่งกำเนิดจังหวะไฟฟ้าหยุดทำงานหรือทำงานผิดปกติ ทำให้ จังหวะการเต้น ของหัวใจไม่สม่ำเสมอ เต้นๆหยุดๆ เต้นเร็วไปบ้าง เต้นช้าไปบ้าง ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ถ้าเต้นเร็วไป ก็จะมีอาการใจสั่น ถ้าช้าไปมากๆอาจจะมีอาการ หน้ามืดหรือเป็นลมหมดสติ บางครั้งแหล่งกำเนิดจังหวะไฟฟ้า อาจจะออก จากตำแหน่งอื่นในหัวใจที่ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาเองภายหลัง เนื่องจากมีความผิดปกติทางระบบไฟฟ้าต่อเซลล์ ของกล้ามเนื้อหัวใจซึ่งจะเกิด ได้ทั้งจากหัวใจห้องบนและห้องล่าง ทำให้เกิดมี หัวใจกระโดด คือ เต้นมาก่อนกำหนดที่ควรจะเต้น ผู้ป่วยบางรายที่มีหัวใจเต้น กระโดดก็ไม่มีอาการอะไร บางรายก็มีความรู้สึกว่าจังหวะการเต้นหัวใจรวนผิดปกติไป บางทีความผิดปกติ ที่เกิดแก่ระบบไฟฟ้าหัวใจ ก็อยู่ที่ทางเดินไฟฟ้าที่นำไฟฟ้าจากห้องบนลงสู่ห้องล่าง เมื่อเกิดความติดขัดแก่ทางเดินไฟฟ้า หัวใจก็มัก จะมีจังหวะการเต้นช้าลง ถ้าช้าลงไม่มากอาการก็น้อย ถ้าช้าลงมากก็อาจมีอาการหน้ามืดเป็นลมหมดสติได้ ในผู้ป่วยบางรายที่มี ทางเดินไฟฟ้าผิดปกติ แต่ กำเนิดหรือมาเป็นภายหลังก็อาจจะเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้เกิดหัวใจเต้นเร็วฉับพลันขึ้นมาได้ มีอาการ ใจสั่นและเหนื่อยเหมือน ไปออกวิ่งไกลๆ

โดยคำนิยาม " หัวใจกระโดด " ที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ หมายถึงการเต้นผิดจังหวะของหัวใจทุกชนิด ทั้งชนิดเร็วเกินไป ช้า เกินไป ชนิดเป็นๆหายๆ และชนิดเป็นถาวร เราจึงต้องมาพูดถึงการเต้นจังหวะปกติว่าเป็นอย่างไรเสียก่อน การเต้นจังหวะปกติ คือ จังหวะสม่ำเสมอในอัตราการเต้น 60 ถึง 100 ครั้ง ต่อนาทีโดยไฟฟ้าเดินทางออกจากส่วนบนของหัวใจห้องบนขวาลงมายังห้องล่าง

อัตราการเต้นในจังหวะปกตินี้จะแปรเปลี่ยนไปได้ตามการหนักเบาของการทำงาน หรือการออกกำลังของร่างกายในขณะใดขณะหนึ่ง เช่น นอนพักผ่อน สบายๆ จะมีอัตราการเต้น 60 ครั้งต่อนาที ออกเดินช้าๆ อัตราการเต้นเพิ่มขึ้นเป็น 70 ครั้งต่อนาที ออกวิ่งช้าๆ อัตราการเต้นเป็น 100 ครั้งต่อนาที ออกวิ่งเร็วๆ อัตราการเต้นเป็น 140 ครั้งต่อนาที

เมื่อเรารู้แล้วว่าเต้นปกติคืออย่างไร เราก็เข้าใจได้ว่าการเต้นจังหวะที่ผิดเพี้ยนไปจากนี้ คือการเต้นกระโดด เช่น นั่งอยู่ดีๆหัวใจเต้น เร็วขึ้นมาทันทีจาก 80 ครั้งต่อนาที เป็น 160 ครั้งต่อนาที หรือมีการเต้นมาก่อนกำหนด หรือเต้น 2 จังหวะ หยุด 1 จังหวะ เป็นต้น

อาการที่พบในขณะที่หัวใจกระโดดมีได้แตกต่างกัน บางคนจะไม่มีอาการอะไรเลย แม้จะมีหัวใจกระโดดอยู่ตลอดเวลา บางคนจะ มีอาการใจสั่นใจหวิว บางคนมีอาการหัวใจบีบตัวแรงในบางจังหวะ บางคนมีอาการเหนื่อยทั้งๆที่นั่งอยู่เฉยๆ บางคนมีอาการเพลีย หมดแรงไม่อยากทำอะไร อยากนอนตลอด ในขณะที่หัวใจกระโดด บางคนมีอาการหน้ามืด จนถึงหมดสติถ้าหัวใจเต้นช้าหรือมี จังหวะที่หยุดเต้นนานเกิน 3 วินาที เนื่องจากอาการมีแตกต่างกันมาก และหัวใจกระโดดก็มีหลายชนิด การฟังจากอาการอย่างเดียว จึงไม่เพียงพอที่จะบอกว่าเป็นหัวใจกระโดดชนิดใด จึงจำเป็นต้องอาศัยการตรวจร่างกาย การตรวจคลื่นหัวใจ การตรวจพิเศษชนิด ต่างๆ เพื่อสามารถตรวจจับได้ว่าเป็นการเต้นกระโดดชนิดใด เนื่องจากการรักษาหัวใจกระโดดแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ผู้ป่วยที่มี อาการหัวใจกระโดดหลายรายไปตรวจกับแพทย์แล้วอาจจะถูกสรุปว่าเป็นโรคเครียดคิดมาก ด้วยเหตุที่ว่า การกระโดดของหัวใจ เกิดขึ้นนานๆครั้ง จับตัวไม่เจอ เพราะตอนเป็นก็ไม่ได้ไปให้เเพทย์ตรวจ ตอนไปให้แพทย์ตรวจการกระโดดก็ยังไม่เกิดขึ้น บางครั้งการกระโดดของหัวใจเกิดขึ้นระยะเวลา ช่วงสั้น แม้คิดว่าจะไปหาแพทย์ทันทีก็ไปไม่ทัน การกระโดดหายไปเสียก่อน

ในกรณีที่ท่านไปพบแพทย์ปรึกษาเกี่ยวกับปัญหา "หัวใจกระโดด" แพทย์จะตรวจความดันโลหิต ตรวจจังหวะ และ อัตราการเต้นของ หัวใจ ว่าเป็นปกติหรือไม่ แพทย์จะตรวจหัวใจและหลอดเลือดโดยละเอียด ว่ามีโรคหัวใจชนิดใดอยู่หรือไม่ เพราะจะทำให้แพทย์ ทราบสาเหตุว่าทำไมหัวใจจึงกระโดด ในกรณีที่ตรวจ พบสาเหตุ การรักษาที่สาเหตุโดยตรงอาจช่วยแก้ปัญหาหัวใจกระโดดได้ง่าย ขึ้นตัวอย่างของสาเหตุที่ทำให้หัวใจกระโดด ได้แก่

1. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ทำให้เกิดหัวใจกระโดดทั้งชนิดที่เกิดกระโดดจากหัวใจห้องล่างหรือจากหัวใจห้องบน มักมีอาการร่วมกับอาการจากหัวใจ ขาดเลือดคืออาการเจ็บแน่นหน้าอก

2. โรคที่เกิดจากความเสื่อมของจุดกำเนิดจังหวะหัวใจและทางเดินไฟฟ้าในหัวใจ อาจทำให้หัวใจเต้นเร็ว ผู้ป่วยจะ มีอาการใจสั่น ตอนหัวใจเต้นช้า จะมีอาการหน้ามืดจนถึงเป็นลมหมดสติได้

3.โรคลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว โรคลิ้นหัวใจตีบรูห์มาติค ทำให้หัวใจกระโดดชนิดที่มาจากห้องบนเป็นส่วนใหญ่ ลิ้นหัวใจรั่วก็อาจ ทำให้หัวใจกระโดดได้เช่นกัน

4. โรคหัวใจผิดปกติจากกำเนิด ทำให้หัวใจกระโดดได้หลายชนิด เป็นได้ทั้งก่อนการผ่าตัดแก้ไขและหลังการผ่าตัดแก้ไข รวมทั้งคนไข้ที่มีทางเดินไฟฟ้าหัวใจ ผิดปกติแต่กำเนิด เช่นโรควูฟพาร์กินสันไวท์ซินโดรม ( WPW Syndrome )

5. โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวอ่อน โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวเฉพาะส่วน โดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้หัวใจ เต้นกระโดดชนิดร้ายแรงจนอาจถึงแก่ชีวิตได้

6. โรคทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับหัวใจโดยตรง เช่น โรคคอพอกเป็นพิษ ก็อาจทำให้หัวใจกระโดดได้ โรคถุงลมโป่งพอง ในปอดเรื้อรัง

นอกจากนั้น ยาบางชนิดทำไห้หัวใจกระโดด โดยเฉพาะถ้าได้รับปริมาณมากแม้แต่การดื่มกาแฟยังเป็นเหตุให้หัวใจกระโดดได้ ความผิดปกติของระดับเกลือแร่ ในร่างกาย เช่น ระดับโปแตสเซียมต่ำเป็นเหตุให้หัวใจกระโดดได้มาก ระดับความสมดุลของ ระบบประสาทอัตโนมัติ มีผลต่อการกระโดดของหัวใจอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ตรวจไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน

หัวใจกระโดดที่มีบ่อยหรือเป็นอยู่ตลอดเวลา การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็มักจะบอกได้ว่าเป็นการกระโดดชนิดใด และควรจะรักษา อย่างไร แต่มีไม่น้อย ที่ทำคลื่นไฟฟ้าหัวใจหลายครั้งก็ยังไม่พบว่าเป็นการเต้นกระโดดชนิดใด จำเป็นต้องอาศัยการตรวจพิเศษ เพิ่มเติม ได้แก่

1.การติดเทปบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ( Holter monitoring ) โดยอาศัยเทปหรือการบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจชนิดดิจิตอล ทำให้เราสามารถ ตรวจดูคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ได้บันทึกไว้ตลอด 24 ชั่วโมงได้ คนไข้จะต้องติดสายและติดเครื่องบันทึกไว้กับตัวตลอดหนึ่งวัน เครื่องบันทึกนี้มีขนาดเล็กเท่าขนาด โทรศัพท์มือถือ ถ้าการกระโดด นั้นไม่เกิดขึ้นใน 24 ชั่วโมงที่ติดเครื่องบันทึก ก็ยังอาจตรวจจับไม่ได้บางรายต้องติดหลายครั้งจึงพบ

2.การใช้เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจชั่วคราวชนิดพกติดตัวได้สะดวก มีขนาดเครื่องเล็กเท่า pager ติดตามตัว และบางบริษัทผลิตเป็นขนาดบางเล็ก เท่าเครดิตการ์ด พกติดไว้ในกระเป๋า ถ้าเกิดอาการหัวใจกระโดดก็นำมาแนบที่หน้าอก กดปุ่ม เครื่องจะบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจไว้เป็นเวลา 30 วินาที เมื่อ นำไปให้แพทย์ถ่ายคลื่นไฟฟ้าลงบนกระดาษ ก็จะทราบว่าเป็นหัวใจ กระโดดชนิดใดได้ เครื่องชนิดนี้เหมาะแก่การกระโดดชนิดนาน ๆ เป็น ครั้งหนึ่ง และเป็นแล้วหายเร็วไปพบแพทย์ไม่ทัน แต่ไม่ เหมาะกับการเต้นผิดจังหวะชนิดที่มีอาการหน้ามืด เป็นลม หมดสติ

3.การตรวจโดยการเอียงเตียง ( Tilt Table Test ) ในผู้ป่วยอายุน้อยที่มีอาการหน้ามืดเป็นลมบ่อย ที่สงสัยจะเกิดจาก ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ แพทย์จะตรวจโดยการเอียงเตียงขึ้น 60-80 องศา เป็นเวลา 30-40 นาที

4.การตรวจสมรรถภาพหัวใจโดยการออกกำลัง บางครั้งเราจะตรวจการกระโดดพบด้วยวิธีนี้

5.การตรวจเช็คระบบไฟฟ้าภายในหัวใจโดยตรง เป็นการตรวจพิเศษที่ต้องใส่สายสวนหัวใจขนาดเล็ก เข้าไปภายในหัวใจ หลายตำแหน่งโดยใช้เครื่อง x-ray ช่วย รับไฟฟ้าจากภายในหัวใจหลายจุด ทำให้รู้ว่าไฟฟ้าลัดวงจรที่ใดหรือไม่ รวมทั้งอาจปล่อย ไฟฟ้าปริมาณน้อย ๆ เข้าไปกระตุ้นให้เกิดการเต้นผิดจังหวะ ที่เป็นอยู่มาปรากฎให้เห็นต่อหน้าแพทย์ได้ ถ้าตรวจพบทางเดินไฟฟ้า ผิดปกติโดยวิธีนี้ ก็อาจให้การรักษาต่อเนื่องโดยใช้พลังงานวิทยุตัดวงจรไฟฟ้าได้เลย

การรักษาหัวใจเต้นกระโดดขึ้นกับชนิดของการกระโดดที่ตรวจเจอ บางชนิดเป็นการกระโดดที่ไม่ร้ายแรงก็ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา สามารถปล่อยให้กระโดด อยู่อย่างนั้นได้โดยเฉพาะในรายที่ไม่มีอาการและตรวจไม่พบโรคหัวใจอย่างอื่น โดยสรุปการรักษาจะมี หลายอย่าง ได้แก่

1.ไม่ให้การรักษาใด ๆ แต่ตรวจติดตามอาการเป็นระยะดังกล่าวข้างต้น

2.การรักษาโดยการใช้ยา ยาส่วนใหญ่จะรักษาการกระโดดของหัวใจได้เพียงแค่ควบคุมได้เท่านั้นมักไม่ทำให้หายขาด ตราบใด ที่ยังกินยาอยู่ก็ไม่เป็น ครั้นลืมกินยาหรือหยุดยาโดยตั้งใจ ก็มีอาการกลับมาใหม่อีก ยาทุกชนิดที่รักษาหัวใจกระโดดมักมีฤทธิ์ ข้างเคียงค่อนข้างมาก ไม่ควรซื้อทานเองตาม ร้านขายยาควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ขอคำปรึกษาจะดีกว่า

3.การรักษาด้วยเครื่องมืออีเลคโทรนิค ได้แก่การ ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจถาวร (Cardiac pacemaker) ในผู้ป่วยที่หัวใจเต้นช้ามากหรือตัวให้จังหวะการเต้น ไม่ทำงาน นอกจากนั้นบางคนยังจำเป็นต้องใส่เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ ( Automatic defibrillator ) ให้หัวใจที่กระโดดชนิดร้ายแรง ถูกกระตุกกลับเป็น ปกติด้วยพลังงานไฟฟ้าได้

4.การรักษาโดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุ ใช้หลักการ การสวนหัวใจที่ใช้เครื่องเอกซเรย์ช่วย เมื่อตรวจพบไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้ เกิดหัวใจกระโดด เราสามารถ ใช้พลังงานคลื่นวิทยุผ่านทางสายสวนหัวใจชนิดที่มีขั้วนำไฟฟ้าที่ปลายสาย ทำให้ เกิดความร้อน ที่ปลายสายประมาณ 50-60 เซลเซียส ก็สามารถตัดวงจร ไฟฟ้าภายในหัวใจที่ผิดปกติให้ขาดจากกันได้ เป็นการรักษาที่ทำให้ หายขาดถาวรได้โดยไม่ต้องกินยาหรือมาทำการรักษาซ้ำอีก ข้อเสียของวิธีนี้ คือมีราคาแพง แต่เป็น การลงทุนเพียงครั้งเดียว ถ้าเราคิดราคาค่ายาที่เราต้องกินตลอดชีวิต ก็จะพบว่า การจ่ายเงินครั้งเดียวแล้วหาย ดีกว่ากินยาตลอดชีวิต เป็นอันมาก

5.การรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายวิธี ได้แก่ การผ่าตัดแก้สาเหตุโดยตรง เช่น การตัดต่อทางเดินเส้นเลือดหัวใจ การผ่าตัด เปลี่ยนลิ้นหัวใจ, การผ่าตัดกล้ามเนื้อ หัวใจตายที่โป่งพองออก เป็นต้น

เราจะเห็นว่าวิวัฒนาการ การรักษาหัวใจกระโดดดีขึ้นเป็นอันมาก ทำให้การรักษาที่ไม่เคยหายขาดมาหายขาดได้ มีเครื่องมือ สมัยใหม่ช่วยในการวินิจฉัย และรักษาเกิดขึ้นหลายอย่าง การพัฒนาวิธีการรักษาคงไม่หยุดเท่านี้ นับวันเราก็จะมีวิธีต่อสู้กับ โรคต่างๆได้มากขึ้น ทำให้ชีวิตมนุษย์ยืนยาวขึ้นเรื่อยๆ เราทุกคนนับว่าโชคดีที่มาเกิดในช่วงเวลาที่มีการรักษาโรคอันทันสมัย เราจึงไม่ควรปฏิเสธการก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหล่านี้ ในฐานะของแพทย์ ผู้รักษาก็มีหน้าที่ต้องเพิ่มพูนความรู้ให้ทันกับ การคิดค้นใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์ทางวิชาการเหล่านี้โดยทั่วถึงกัน


เรียบเรียงโดย นพ.ระพีพล กุญชร ณ อยุธยา อายุรแพทย์โรคหัวใจ
http://www.thaiheartweb.com/
[ ... ]