Thursday, April 1, 2010

เคล็ดลับการแต่งหน้าให้สวยเจิด สำหรับสาวผิวคล้ำ


แต่งหน้า

เคล็ดลับการแต่งหน้าให้สวยเจิด สำหรับสาวผิวคล้ำ (Woman's Story)


            สาว ๆ ที่มีผิวสีน้ำผึ้ง ผิวสองสีไปจนถึงผิวคล้ำ ไม่ต้องน้อยใจในโชคชะตาที่มีสิผิวคล้ำ เพราะสีผิวคล้ำนั้นก็มีเสน่ห์ในตัวไม่แพ้สาว ๆ ที่มีผิวขาวเลยค่ะ ครั้งนี้ขอเอาใจสาวผิวคล้ำ กับเคล็ดลับการแต่งหน้าให้สวยเจิด ไม่แพ้สาวผิวขาว รับรองว่าสามารถสวยมัดใจหนุ่ม ๆ ได้แน่นอน  


เลือกสีรองพื้นและแป้งให้เหมาะ

            สาว ๆ ควรเลือกสีรองพื้น และแป้งให้ใกล้เคียงกับสีผิวหน้าให้มากที่สุดค่ะ หรือถ้าอยากให้หน้าดูสว่าง ย้ำว่าสว่างนะคะ ไม่ใช่ให้หน้าดูขาววอก ให้เลือกเฉดที่สว่างกว่าผิวหน้าแค่ 1 เฉดกำลังดีเลยค่ะ เพราะหากขาวเกินไป หน้าจะดูลอยค่ะ


ดวงตาสะกดใจ

            แต่งดวงตาให้สะกดทุกสายตาให้จับจ้องที่ตัวเรา ถือเป็นหัวใจสำคัญเลยค่ะสำหรับสาวผิวคล้ำ หากเป็น Smoky Eyes จะเหมาะมาก ๆ เลยค่ะ อย่าลืมเขียนอายไลน์เนอร์ ดัดขนตาและมาสคาร่าด้วยนะคะ ดวงตาจะโดดเด่นมาก ๆ ค่ะ


แก้มสวยอินเทรนด์

            แนะนำให้ใช้บลัชออนโทนสีน้ำตาลมีประกายเล็กน้อยหรือสีส้ม สีพีช ทีมีชิมเมอร์สีทอง หรือจะเป็นน้ำตาลอมแดง สีแดงระเรื่อ ๆ ก็ได้เช่นกันค่ะ จะช่วยทำให้หน้าดูสว่างสดใสอีกด้วยค่ะ


ริมฝีปากเย้ายวน

            หลีกเลี่ยงสีเข้ม ๆ จัด ๆ ไปเลยค่ะ เพียงแค่ทลิปกลอสที่ริมฝีปาก แค่นี้ก็ดูสดใสแถมยังแอบเซ็กซี่เล็ก ๆ อีกด้วยล่ะค่ะ      



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 
[ ... ]

Wednesday, March 31, 2010

เมกอัพแบบนี้ที่สาว ๆ พลาดกันบ๊อยบ่อย


แต่งหน้า



เมกอัพแบบนี้ที่สาว ๆ พลาดกันบ๊อยบ่อย มาแก้ไขกันได้แล้ว! (Lisa)


          ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสีเมกอัพผิด ๆ ทำตามขั้นตอนแต่งหน้าเดิม ๆ ที่ควรเลิกได้แล้ว หรือปัดแก้มแบบไม่ถูกวิธี เชื่อเถอะว่าคุณต้องเคยทำข้อผิดพลาด ในเรื่องการแต่งหน้าแบบนี้มาสักเรื่องสองเรื่อง เลิกเสียทีนะ เรามีเคล็ดลับจากมือโปรมาบอกวิธีการที่ถูกต้องให้แล้ว


1. รีบลงรองพื้น

          เวลาไม่เคยรอท่า แต่เมกอัพอาร์ทิสต์มือโปรทั้งหลายต่างเห็นพ้องกันว่าสาว ๆ ควรจะรอสักหน่อยนะหลังจากที่ลงรองพื้นแล้ว เพราะถ้าคุณแต่งหน้าทั้ง ๆ ที่มอยสเจอไรเซอร์ยังไม่ทันซึมซับเข้าผิวดี ความมันเยิ้มของผิวก็จะทำให้เมกอัพหลุดไปก่อนตะวันจะสาย อย่าว่าตี่ทั้งวันเลย รอให้ผิวซึมซับมอยสเจอไรเซอร์สัก 5 นาทีก่อนจะเริ่มลงมือแต่งหน้า เมกอัพของคุณจะติดทนยาวนานขึ้นอีกเยอะเลย

2. ปัดมาสคาร่าผิดทาง

          จริง ๆ นะ คุณคิดว่าที่ปัดมาสคาร่าอยู่น่ะ ปัดกันถูกทิศถูกทางดีแล้วเหรอ ? ช่างแต่งหน้ามือโปรหลายคนฟันธงว่า ผู้หญิงจำนวนมากมักจะปัดมาสคาร่าในแบบที่ทำให้ขนตาชี้ออกไปด้านข้าง ทั้งที่ความจริงแล้ว การปัดมาสคาร่าควรลากแปรงขึ้นด้านบน เพื่อให้ขนตาชี้ขึ้นด้านบน ซึ่งจะเป็นการเปิดดวงตาให้ดูโตขึ้น โดยควรเริ่มจากกึ่งกลางตาลากแปรงมาสคาร่า จากโคนขนตาขึ้นไปจนสุดปลายขนตา แล้วทำแบบเดียวกันกับด้านข้างทั้งสองด้าน และให้แน่ใจว่ามาสคาร่าเคลือบขนตาทุกเส้น

3. ปัดมาสคาร่าเป็นขั้นตอนสุดท้าย

          เกือบทุก ๆ คนเคยทำอย่างนี้ แล้วมันก็ดูไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลยนี่นา ? แต่เมกอัพอาร์ทิสต์มือโปรหลายคนเห็นว่า การปัดมาสคาร่าทันทีหลังจากที่ลงรองพื้นแล้ว จะทำให้คุณรู้สึกดูดีขึ้นในทันที เพราะดวงตาของคุณเด่นขึ้น และทำให้คุณยั้งมือไม่เติมแต่งใบหน้าทั้งหมดมากเกินไปด้วย

4. เทียบสีคิวผิดที่

          ขนคิ้วของคุณต่างจากเส้นผมบนศีรษะมากนัก หลายคนใช้ดินสอเขียนคิ้วผิดสี บ็อบบี้ บราวน์ กูรูด้านแต่งหน้าบอก นั่นก็คือสาว ๆ มักจะใช้สีดินสอเขียนคิ้วสีเดียวกับเส้นผม ทั้ง ๆ ที่ควรใช้สีเดียวกับคิ้วต่างหาก บ็อบบี้บอกว่าเธอมักจะใช้ดินสอเขียนคิ้วสีน้ำตาลอมเทาอ่อน ๆ เพื่อวาดโครงคิ้ว และเติมส่วนที่บางเกินไปให้คมเข้มยิ่งขึ้น และหยุดแค่นั้นพอ เพราะคิ้วไม่ควรจะมีสีเข้มกว่าเส้นผมของคุณ หรือแม้แต่จะสีเดียวกัน

5. แมตช์เมกอัพมากเกินไป

          วิธีที่ดีที่สุดในการทำลายลุคของคุณก็คือ การแมตช์เมกอัพที่ดวงตากับเสื้อผ้า การเลือกโทนสีเมกอัพควรคำนึงถึงสีผิวของคุณมากกว่า เลือกโทนสีที่ขับเน้นผิวของคุณให้ดูสวยขึ้น หรือถ้าให้ปลอดภัยที่สุดก็คือเลือกโทนสีกลาง ๆ ที่เข้าได้กับแทบทุกสีผิว จำไว้ว่าเมกอัพที่ทำให้คุณดูสวยเหมือนไม่ได้เมกอัพ ย่อมดีกว่าเมกอัพที่ดูเด่นเด้งออกมามากจนเกินไป

6. ไม่รู้จักพอ

          พอเป็นเรื่องของเล็บ มากกว่า ไม่ได้แปลว่าดีกว่า ความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดของสาว ๆ ก็คือการทาเล็บหลายชั้นเกินไป ความจริงแล้ว ยาทาเล็บต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะแห้ง ดังนั้นอย่าทาเล็บเกิน 2 ชั้น หากทำพลาดก็ให้ล้างออกแล้วเริ่มใหม่ทั้งหมด ถ้ารีบจริง ๆ จงข้ามชั้นที่ 2 ไป แล้วทาน้ำยาเคลือบสีทับ สีเล็บจะดูมันวาวยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องทาถึงสองชั้น

7. กับคิ้วจนบางเกินไป

          บาง ใช่ว่าจะดี ผู้หญิงมากมายที่กันคิ้วบางจนเกินไป ซึ่งจะทำให้ใบหน้าดูแข็งกระด้าง และดูรวม ๆ ก็คือแก่ลง ต้องถอนขนโดยเริ่มจากหางคิ้วมาตามกรอบโค้ง ไม่ใช่ถอนลงไปตรง ๆ ให้ดึงขนคิ้วตามทิศทางที่มันขึ้น โดยใช้แหนบที่มีคุณภาพดี เพื่อที่ขนคิ้วจะได้หลุดมาง่ายโดยไม่ต้องใช้แรงมากนัก

8. ปล่อยให้ริมฝีปากแห้งแตก

          ลิปสติกเป็นของสวยงาม แต่ก็ต้องมีการเตรียมตัวก่อนใช้กันบ้าง ผู้หญิงหลายคนมักทาลิปสติกหรือกลอสลงไปบนริมฝีปากที่แห้งแตกเป็นขุย ซึ่งทำให้ลิปสติกไม่เรียบเนียนและไม่สวยเท่าที่ควร เพื่อขจัดคราบแห้งแตกบนริมฝีปาก ให้ใช้แปรงสีฟันถูลงบนริมฝีปาก แล้วค่อยทาครีมขี้ผึ้งหรือลิปบาล์มบำรุงให้ริมฝีปากชุ่มชื้นก่อน เมื่อริมฝีปากของคุณนุ่มเรียบดีแล้ว จึงค่อยทาลิปหรือกลอสที่มีมอยสเจอไรเซอร์

9. ใช้ดินสอเขียนขอบปากมากเกินไป

          ไม่ว่าจะใช้ดินสอเขียนขอบปากอย่างไร คุณก็ควรจะใช้มันเพียงน้อย ๆ เท่านั้น ดินสอเขียนขอบปากอาจเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก และสามารถเปลี่ยนลุคริมฝีปากของคุณได้ในชั่วอึดใจ แต่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ดินสอสีแดงคู่กับลิปสติกสีแดงเท่านั้นหรอกนะ ลองเปลี่ยนมาใช้ดินสอสีกลาง ๆ เขียนขอบปากและระบายริมฝีปากให้ทั่ว ลิปสติกจะติดทนนานขึ้น และเวลาที่กินหรือดื่ม สีปากก็จะค่อย ๆ จางไปอย่างเสมอกัน ไม่ใช่เหลือแต่เส้นขอบปากเป็นวง

10. ปัดบลัชออนต่ำเกินไป

          แม่อาจจะสอนเรื่องดีๆ ให้คุณหลายอย่าง แต่คงไม่รวมถึงเรื่องตำแหน่งการปัดบลัชออน สาวๆ หลายคนก็เลยปัดบลัชออนผิดตำแหน่ง ที่ซึ่งคุณปัดบลัชออนเป็นตำแหน่งที่จะดึงดูดสายตา ผู้คนให้หันมามอง คุณจึงต้องปัดมันในตำแหน่งที่พอเหมาะพอดีจริงๆ ถ้าปัดต่ำไปก็จะทำให้แก้มของคุณดูห้อยต่ำลง เพราะฉะนั้นเวลาปัดบลัชออนให้มองดูหน้าคุณในกระจก และปัดบลัชให้สูงกว่า จุดที่คุณคิดว่าควรจะปัดเล็กน้อย นั่นมักเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมเสมอ

11. แทนที่จะปิดกลับทำให้เป็นจุดเด่น

          คอนซีลเลอร์ที่ถูกสีจะทำให้หน้าคุณดูเนียนเรียบ แต่ถ้าผิดสีแล้วมันเป็นหายนะเลยล่ะ โดยเฉพาะคอนซีลเลอร์รอบดวงตาที่ผู้หญิงหลายคน มักเลือกสีผิด นั่นคือบ่อยครั้งที่สาว ๆ จะเลือกสีอ่อนเกินไป เพราะอาจเคยได้ยินมาว่าคอนซีลเลอร์ ควรต้องมีสีอ่อนกว่าเพื่อให้ดูสว่าง แต่นั่นหมายถึงอ่อนกว่าสีผิวใต้ตา ไม่ใช่สีผิวตามธรรมชาติของคุณ ดังนั้น ให้ทาคอนซีลเลอร์ที่มีเฉดสีเหลือง หรือสีแอพริคอตเพื่อปกปิดรอยคล้ำก่อน จากนั้นจึงค่อยเพิ่มความเปล่งประกายหลังจากที่รอยดำคล้ำหายไปแล้ว

12. ไม่รู้จักการเน้นความคมเข้มของดวงตา

          การเขียนขอบตากับการเน้นความคมเข้มของดวงตาเป็นคนละเรื่องกัน สาว ๆ หลายคนชอบใช้อายไลเนอร์สีดำกรีดขอบตาเพื่อขับดวงตาให้คมชัด แต่วิธีการนี้กลับจะทำให้ดวงตาดูแข็ง ๆ มากกว่าคมเข้ม วิธีที่ดีกว่าในการเน้นความคมเข้มของดวงตา และทำให้ดวงตาดูโตขึ้นก็คือทามาสคาร่าก่อน สักสองสามรอบ จากนั้นจึงค่อยทาอายแชโดว์แล้วเขียนเส้นขอบตา

13. เรียงลำดับผิด

          อย่าเขินอายกับการทาอายแชโดว์ การเริ่มแต่งหน้าด้วยการทาอายแชโดว์ก่อน จะช่วยประหยัดเวลาในการแต่งหน้าทั้งหมดได้ โดยเฉพาะถ้าคุณแต่งตาด้วยสีเข้ม ๆ อย่างสโม้กกี้อาย มันอาจมีเศษอายแชโดว์ร่วงหล่นลงบนผิวหน้า ถ้าแต่งตาทีหลัง คุณก็อาจต้องเริ่มต้นทารองพื้นและแป้งใหม่ แต่การแต่งตาก่อนคุณจะสามารถทำความสะอาดเศษอายแชโดว์ที่ร่วงหล่น แล้วค่อยทารองพื้นและแป้งได้ ทำให้ใบหน้าคุณไร้ที่ติแบบไม่เสียเวลา




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

Tuesday, March 30, 2010

ฤกษ์ดีในปี 2553


แต่งงาน

สรุปข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ฤกษ์งามยามดีหมายถึงการเริ่มต้นที่ดี คนไทยเชื่อกันว่าการเริ่มต้นเรื่องใด ๆ ในชีวิต หากเริ่มตามฤกษ์ที่คำนวณว่าดีแล้ว ก็จะพบกับความสำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องของการแต่งงาน จะขาดการดูฤกษ์ในการเริ่มต้นพิธีเป็นไม่ได้

          แต่สำหรับ คู่บ่าว-สาวที่ไม่อยากรอปรึกษาหาฤกษ์มงคลกับอาจารย์ท่านไหน แต่ก็ไม่อยากได้ฤกษ์สะดวกแบบหลับตาจิ้ม เรามี "ตารางวันฤกษ์ดี"ซึ่งเป็นฤกษ์มงคลในปี พ.ศ. 2553 จาก อาจารย์คฑา ชินบัญชรหมอดูชื่อดัง มาฝากให้บ่าว-สาวทุกคู่ได้เลือกวันที่เหมาะสมไปใช้ ปีเสือที่ใครต่อใครคิดว่าดุ อาจจะเป็นปีเสือคึกคะนอง พร้อมด้วยวันดีอันเป็นมงคลของคุณจริง ๆ ก็ได้

ตำราจีน วันที่ดีในแต่ละเดือนของปีนักษัตรทั้ง 12


 เดือน/ปีเกิด มกราคมกุมภาพัันธ์ มีนาคม เมษายน พฤษภาคมมิถุนายน

ชวด


มะโรง


วอก
 2 6


14 18


26 30
 7 11


15 19


23
 3 7


15 19


27 31
 8 12


16 20


24
 2 6 14


18 26


30
 7 11


19 23



ฉลู


มะเส็ง


ระกา
3 11


15 23


27
4 8 16


20 28


 4 12


16 24


28
 1 5 9


17 21


29
3 11


15 23


27
 4 8


16 20


28

ขาล


มะเมีย


จอ

4 8


12 16


20 24 28

1 5 9


13 17


21 25
 1 5 9


13 17


21 25 29

2 6 10


14 18


22 26 30

4 8


12 16


20 24 28

1 5 9


13 17


21 25 29

เถาะ


มะแม


กุน
1 5 9


13 17


21 25 29
 2 6 10


14 18 22


26
 2 6 10 14


18 22 26


30
3 7 11


15 19


23 27

1 5 9


13 17


21 25 29
2 6 10


14 18


22 26 30
  

 เดือน/ปีเกิด กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม 

ชวด


มะโรง


วอก
 1 5 13


17 25


29
 6 10


18 22


30
 3 11 15


23 27


 5 9 17


21 19


 2 10


14 22


26
 4 8 16


20 28



 ฉลู


มะเส็ง


ระกา
 2 10


14 22


26
 3 7 15


19 27


31
8 12 20


24


 2 6 14


18 26 30


 7 11


19 23


 1 5 13


17 25


29

ขาล


มะเมีย


จอ
 3 7 11


15 19


23 27 31
 4 8 12


16 20


24 28
1 5 9


13 17


21 25 31
3 7 11


15 19


23 27 31
4 8 12


16 20


24 28
2 6 10


14 18


22 26 30
 
เถาะ


มะแม


กุน
 4 8 12


16 2


24 28
 1 5 9


13 17


21 25 29
 2 6 10


14 18


22 26 30
 4 8 12


16 20


24 28
 1 5 9


13 17


21 25 29
 3 7 11


15 19


23 27 31

 ตำราไทย ฤกษ์ดีในปี 2553

          ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 – 13 เมษายน 2553

          วันดี คือ วันพุธ เป็น ธงชัย
          วันไม่ดี คือ วันศุกร์ เป็น อุบาทว์ โลกาวินาศ

          ตั้งแต่ 14 เมษายน 2553 – 31 ธันวาคม 2553 

          วันดี คือ วันอังคาร เพราะเป็น ธงชัย วันพฤหัสบดี เป็น อธิบดี
          วันไม่ดี คือ วันจันทร์ เป็น อุบาทว์ วันเสาร์ เป็น โลกาวินาศ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

โดย : Supatha
[ ... ]

Monday, March 29, 2010

เขียนขอบตา... อย่างมืออาชีพ



Perfect Inner-Liner เขียนขอบตาในอย่างมืออาชีพ (Woman Story)

          เขียนขอบตาในให้ดวงตาดูคมนั้น ไม่ยากเลยค่ะสาว ๆ เพียงแค่เลือกแปรงให้ดี และเลือกอายไลน์เนอร์ให้เหมาะสม แค่นี้การเขียนขอบตาด้านในก็ทำได้ขึ้นแล้วค่ะ

           อันดับแรกเลยค่ะ สาว ๆ ต้องเลือกแปรงสำหรับเขียนอายไลน์เนอร์ โดยเลือกแปรงแบบแบน อย่าเลือกขนแปรงแข็งเกินไป เพราะเวลาเขียนจะเจ็บ จากนั้นเลือกอายไลน์เนอร์ที่กันน้ำ เพราะถ้าเจอเหงื่อหรือน้ำตา จะทำให้อายไลน์เนอร์เยิ้ม กลายเป็นหมีแพนด้าได้ค่ะ

           เมื่ออุปกรณ์พร้อมแล้วก็ลงมือเขียนเลยค่ะ ใช้แปรงแต้มที่อายไลน์เนอร์ ลากเส้นเบา ๆ บนมือ เพื่อให้อายไลน์เนอร์ซึมเข้าขนแปรง ไม่จับตัวเป็นก้อนค่ะ

           จากนั้นให้มือจับที่เปลือกตาแล้วเปิดขึ้นเล็กน้อย เขียนอย่างเบามือที่ขอบตาด้านในโดยตั้งแปรงให้ตรง ขนแปรงจะอยู่ใต้เปลือกตา อย่าลากแปรงเหมือนเขียนขอบตาด้านนอก ให้ใช้วิธีจิ้มเบา ๆ ให้ทั่วทั้งเปลือกตา เพราะการลากแปรงจะทำให้เจ็บตาได้ และทำให้เส้นไม่สม่ำเสมอค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

Sunday, March 28, 2010

ทำไงดี...มีลูกยากจัง



ทำไงดี...มีลูกยากจัง
 (momypedia)
โดย: รศ.นพ.สมชาย สุวจนกรณ์

           นั่นสิคะ...เพราะปัญหามิได้อยู่แค่ว่า "มีลูกยาก" เท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ "ทำใจยาก (ยิ่งกว่า)" เมื่อพยายามมี แต่มีไม่สำเร็จสักทีด้วยน่ะสิ เฮ้อ!

           ถ้าพูดถึงครอบครัวในภาพที่ทุกคนจินตนาการไว้ก็คงต้องประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก อยู่กันอย่างพร้อมหน้า นั่งรับประทานอาหารด้วยกัน เย้าแหย่กันตามประสาตามวิถีชีวิตของแต่ละคน มีความสุขเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของลูก ได้เห็นการเจริญเติบโตและความก้าวหน้าของลูก นั่นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกท่านต้องการและตั้งความหวังไว้ แต่จะมีพ่อแม่กลุ่มหนึ่งจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถมีลูกไว้เชยชมได้ ดังเช่นประสบการณ์ของพ่อแม่คู่ที่กำลังจะเล่าให้ฟัง ซึ่งอาจจะตรงหรือใกล้เคียงกับประสบการณ์ของพ่อแม่บางท่าน

กรณีศึกษา

           พ่อแม่ที่จะคุยถึงวันนี้อายุ 29 ปีทั้งคู่ มีอาชีพค้าขาย แต่งงานกันมาประมาณ 5 ปี ไม่ได้คุมกำเนิดด้วยวิธีใด ๆ เลย ประจำเดือนมาสม่ำเสมอตรงเวลาตลอด เคยตั้งครรภ์เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจทำให้ยังไม่พร้อมที่จะมีลูก เลยตัดสินใจทำแท้ง เมื่อเวลาผ่านไป สภาพเศรษฐกิจดีขึ้น พอลืมตาอ้าปากได้ ก็อยากที่จะมีลูกเพื่อให้ครอบครัวสมบูรณ์ จึงได้ไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจรักษา ได้รับยากระตุ้นให้ไข่สุกอยู่ 8 รอบเดือน แต่ไม่ตั้งครรภ์

           ผลสุดท้ายแพทย์แนะนำให้ทำการส่องกล้องตรวจวินิจฉัยทางหน้าท้อง (วิธีการทำคือ แพทย์จะทำให้แม่หลับ หลังจากนั้นแพทย์จะเปิดแผลเล็ก ๆ ที่บริเวณใต้สะดือ และสอดกล้องเข้าภายในช่องท้อง โดยที่ในขณะนั้นแม่จะนอนในท่าศีรษะต่ำเพื่อให้ลำไส้มากองบริเวณท้องส่วนบนทำให้เห็นมดลูกและปีกมดลูกได้ง่ายขึ้น ด้วยวิธีนี้แพทย์จะสามารถตรวจมดลูก หลอดมดลูก รังไข่ ว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ มีพังผืดตรงตำแหน่งใด พร้อมกันนั้นก็สามารถฉีดสีดูได้ว่าหลอดมดลูกตันหรือไม่)

           ผลการตรวจพบว่ามดลูกปกติ แต่ปลายหลอดมดลูกตันทั้งสองข้างจนทำให้หลอดมดลูกโป่งพอง มีถุงน้ำที่รังไข่ข้างขวาขนาดเส้นผ่าศูนย์ กลางประมาณ 4 เซนติเมตร ตรวจเชื้ออสุจิพบว่ามีเชื้ออสุจิน้อยกว่าเกณฑ์ แพทย์จึงแนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้ว แต่มีปัญหาว่าเชื้ออสุจิไม่ยอมผสมกับไข่ จึงต้องทำอิ๊กซี่ (ICSI) ต่อ คุณแม่ท่านนี้ได้ใส่ตัวอ่อน 2 ครั้ง แต่โชคร้ายยังไม่ตั้งครรภ์

           สำหรับการรักษา เนื่องจากหลอดมดลูกของคุณแม่ตันทั้งสองข้าง ดังนั้นไม่มีทางเลือกครับ คงต้องทำเด็กหลอดแก้ว และถ้าเชื้อคุณพ่ออ่อนด้วยก็คงต้องแนะนำทำอิ๊กซี่นะครับ เพราะโอกาสที่จะได้ใส่ตัวอ่อนกลับจะมากกว่า ปัญหาอยู่ที่ว่าหลอดมดลูกที่โป่งพองมากหรือน้อยขนาดไหน ถ้าน้อยอาจจะทำการผ่าตัดเปิดปลายหลอดมดลูก และถ้าเชื้อไม่อ่อนมากก็อาจจะท้องได้เอง แต่ถ้าหลอดมดลูกโป่งพองมากจนใช้การไม่ได้ ก็ควรจะตัดทิ้งก่อนที่จะใส่ตัวอ่อนเพราะจะทำให้โอกาสการตั้งครรภ์ลดลงถ้ายัง มีหลอดมดลูกที่โป่งพองอยู่

           เรื่องราวของพ่อแม่คู่นี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ตัวอย่างที่ได้ใช้ความพยายามอย่างสูงในการที่จะมีลูกสักคน ใครที่ไม่เคยมีความรู้สึกนี้อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้ แต่ผู้ที่ประสบปัญหาการมีลูกยากในขณะนี้คงเข้าใจถึงหัวอกพ่อแม่คู่นี้ดี

อย่างไรจึงเรียกว่า "มีลูกยาก"

           เมื่อพูดถึงการมีลูกยากโดยทั่วไปจะหมายความว่าชายหญิงอยู่ด้วยกัน มีเพศสัมพันธ์กันสม่ำเสมอ โดยไม่ได้คุมกำเนิดแล้วยังไม่สามารถที่จะมีลูกได้ในระยะเวลา 1 ปี นั่นเป็นความหมายโดยทั่ว ๆ ไป แต่อยากจะเตือนนะครับว่าคุณแม่ท่านไหนที่อายุมาก โดยเฉพาะอายุมากกว่า 38 ปีขึ้นไป ถ้าได้พยายามที่จะมีลูกสัก 6 เดือนแล้วยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ควรจะรีบปรึกษาแพทย์นะครับ อย่าชะล่าใจปล่อยไปเรื่อย ๆ เพราะยิ่งอายุมากโอกาสการตั้งครรภ์จะน้อยลง การรักษาจะยากขึ้นมาก แต่ถ้าอายุยังน้อยก็ยังพอที่จะรอได้นะครับยังไม่ต้องใจร้อนรีบปรึกษา

           เพราะโดยทั่วไป ชายหญิงอยู่ด้วยกันมีเพศสัมพันธ์กันสม่ำเสมอ จะมีโอกาสการตั้งครรภ์ภายในปีแรกประมาณร้อยละ 85 มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่จะเข้าข่ายการมีลูกยาก แต่ยกเว้นในคู่ที่ประวัติมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาการมีลูกยาก เช่น ฝ่ายหญิงเคยผ่าตัดในช่องท้องมาก่อน มีประวัติการอักเสบในอุ้งเชิงกราน หรือฝ่ายชายเคยมีลูกอัณฑะอักเสบ หรือเคยผ่าตัดบริเวณลูกอัณฑะ เป็นต้น คู่เหล่านี้ควรจะปรึกษาแพทย์แต่เนิ่น ๆ

ทำไมจึง "ยาก" กว่าใคร ๆ

           อาจจะเริ่มสงสัยแล้วนะครับว่าสาเหตุของการมีลูกยากเกิดจากอะไร แล้วจะโทษฝ่ายไหนดี บอกได้เลยนะครับว่าปัจจุบันชาย-หญิงเป็นเหตุของการมีลูกยากใกล้เคียงกัน บางครั้งพบความผิดปกติร่วมกันทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้นอย่าโทษกันเลยครับ เรามาช่วยกันหาวิธีการแก้ไขเพื่อให้ได้เจ้าตัวเล็กกันดีกว่า

           ทางฝ่ายหญิงอาจจะมีสาเหตุมากกว่าเล็กน้อย ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยจะเป็นปัญหาของหลอดมดลูกที่ตีบตัน เช่นเดียวกับตัวอย่างคุณแม่ที่เล่ามา ถ้าหลอดมดลูกตันแล้วไข่ที่ตกจากรังไข่จะไม่สามารถเดินทางเข้าสู่หลอดมดลูก เพื่อพบกับอสุจิได้ ถึงจะมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ไข่ตกก็ตาม หลอดมดลูกที่ตีบตันมักจะเกิดจากปีกมดลูกอักเสบติดเชื้อ แล้วได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้องหรือได้รับยาไม่ครบถ้วน ผลที่ตามมาอาจจะมีพังผืดดึงรั้งให้หลอดมดลูกผิดรูปและอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ เหมาะสมในการเก็บไข่ที่ตกจากรังไข่ได้ ถ้าการอักเสบติดเชื้อรุนแรงอาจทำให้หลอดมดลูกตันได้

           นอกจากนี้พังผืดยังเกิดได้จากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ซึ่งพบได้บ่อยใน ผู้ที่มีลูกยากอีกด้วย ส่วนสาเหตุอื่นได้แก่ภาวะไข่ไม่ตก สังเกตง่ายๆได้จากการที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อาจจะหายไปเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ความเครียดก็มีส่วนสำคัญต่อการตกไข่เช่นกัน จะสังเกตเห็นว่าเวลาที่รู้สึกเครียดมากๆในบางคน ประจำเดือนอาจจะหายไปได้ นอกจากนี้อาจจะเกิดจากความผิดปกติของตัวมดลูกเอง เช่นมีเนื้องอกมดลูกในบางตำแหน่ง

           ในฝ่ายชายส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาเรื่องเชื้ออ่อน ซึ่งอาจจะเป็นความผิดปกติในเรื่องจำนวนเชื้ออสุจิ การเคลื่อนไหว รูปร่าง หรือมีความผิดปกติหลาย ๆ อย่างรวมกัน สาเหตุมักจะเกิดจากการอักเสบติดเชื้อ เช่นเชื้อคางทูม เชื้อแบคทีเรียบางตัวที่ลงลูกอัณฑะ โรคทางพันธุกรรมบางโรค การรักษาทางการแพทย์บางอย่าง เช่น การผ่าตัดต่อมลูกหมาก การผ่าตัดไส้เลื่อน รังสีรักษา และเคมีบำบัด นอกจากนี้ สิ่งแวดล้อมเช่นความเครียดก็มีผลบ้างกับคุณภาพของเชื้ออสุจิ บุหรี่ เหล้า ยารักษาโรคบางกลุ่ม เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเครียด จะมีผลทำให้เชื้อด้อยคุณภาพได้ ในบางครั้งแพทย์ก็ไม่สามารถหาสาเหตุการมีลูกยากในบางคู่ได้ครับ ซึ่งพบได้ถึงร้อยละ 40 ทีเดียว

           อ่านถึงตรงนี้อย่าเพิ่งถอนใจนะครับ เพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้ได้เจ้าตัวเล็กสมใจอยู่หลายวิธี แต่จะเลือกรักษาด้วยวิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุของการมีลูกยาก ดังนั้นควรจะหาสาเหตุให้ได้เสียก่อนว่าเกิดจากอะไร เป็นที่ฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชาย หรือทั้งสองฝ่าย เพื่อจะได้เลือกวิธีที่เหมาะสม โดยแพทย์จะยึดหลักในเรื่องของอัตราความสำเร็จ ค่าใช้จ่าย และผลแทรกซ้อนซึ่งอาจเกิดจากการรักษาเป็นหลักไม่ใช่ "ทางตัน" ซะทีเดียวหรอก



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]