การรับประทาน "ยา" เราควรต้องอ่านฉลากด้านข้างอย่างละเอียดทุกครั้งก่อนรับประทาน
โดยเฉพาะวัน/เดือน/ปี ที่ผลิต และหมดอายุ (อันนี้สำคัญ) ต้องดูให้ละเอียด
เพื่อเราจะได้ไม่ทานยาที่หมดอายุแล้วเข้าไป
แต่บางครั้งฉลากที่บอกวันผลิต-วันหมดอายุของยา อาจจางหายไปกับกาลเวลา
หรือ 'ยา' ที่ผลิตออกมานั่นอาจจะเสื่อมคุณภาพก่อนวันหมดอายุที่ระบุไว้ก็เป็นได้
ซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับการเก็บรักษา หรือตัวยานั้นไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน
ก็อาจทำให้เสื่อมคุณภาพได้ก่อนกำหนด
แล้วเพื่อนๆ ทราบหรือไม่ว่า... ยาแต่ละชนิดนั้นเมื่อเสื่อมคุณภาพจะมีลักษณะเช่นไร?
วิธีสังเกตยาที่เสื่อมคุณภาพ
- ยาเม็ด สังเกตว่า: เม็ดยาจะแตกร่วน สีเปลี่ยนไป มีจุดด่าง ขึ้นรา หรือหากเป็นยาเม็ดเคลือบน้ำตาล
เม็ดยาอาจเยิ้มเหนียวมีกลิ่นหืนหรือกลิ่นผิดไปจากเดิม
- ยาแคปซูล สังเกตว่า: แคปซูลจะบวม พองออก หรือจับกัน ผงยาในแคปซูลเปลี่ยนสี
เช่น ยาเตตราซัยคลินที่เสียแล้ว ผงยาจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อไตมาก
- ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ทาแก้คัน หากเสื่อมสภาพตะกอนจะจับกันเป็นก้อน
เกาะติดกันแน่น เขย่าแล้วไม่กระจายตัวดังเดิม มีความเข้มข้น กลิ่น สี หรือรสเปลี่ยนไป
- ยาน้ำเชื่อม เช่น ยาแก้ไอ หากหมดอายุ ยาจะมีลักษณะขุ่นมีตะกอน ผงตัวยาละลายไม่หมด
สีเปลี่ยน มีกลิ่นบูดเปรี้ยวหรือรสเปรี้ยว
- ยาขี้ผึ้ง และครีม ถ้าพบว่าเนื้อยาแข็งหรืออ่อนกว่าเดิม เนื้อไม่เรียบ เนื้อยาแห้งแข็ง
หรือสีของยาเปลี่ยนไป
และแน่นอนว่า...วิธีการดูว่ายาหมดอายุ คือ ดูวันหมดอายุของยาที่ระบุไว้บนฉลากยา และถ้ายานั้นไม่มีวันบอกหมดอายุ อาจดูจากวันเดือนปีที่ผลิต ซึ่งโดยปกติ ถ้าเป็นยาน้ำจะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต และหากเป็นยาเม็ดจะเก็บไว้ได้ 5 ปี และถ้าเป็นยาหยอดตาหากเปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้เพียงหนึ่งเดือน
เพื่อนๆ คงรู้วิธีสังเกตยากันแล้ว! ครั้งหน้าถ้าหากจะรับประทานยา ก็อย่าลืมสังเกตดูวันหมดอายุ หรือดูลักษณะการเปลี่ยนแปลงของยาก่อนรับประทานยากันด้วยนะค่ะ
0 comments:
Post a Comment