Thursday, October 1, 2009

5 อาหารป้องกันหวัด




5 อาหารป้องกันหวัด (First Magazine)

อาหาร 5 ชนิดที่อาจให้ผลในการช่วยเพิ่มภูมิต้านทานป้องกันหรือลดความรุนแรงของหวัด มีดังนี้

1. อาหารรสเผ็ดรวมทั้งเครื่องเทศ เช่น กระเทียม พริก ลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น

2. กระเทียม ช่วยลดอาการหวัด จะเติมลงในอาหารหรือเคี้ยวสด ๆ วันละ 1-2 กลีบก็ได้

3. ดื่มน้ำมาก ๆ แทนที่จะดื่มกาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน อาจดื่มน้ำผลไม้คั้นสดบ้างเพื่อเสริมวิตามินซี เครื่องดื่มร้อนที่ช่วยได้ เช่น ชา น้ำมะนาวอุ่น ๆ จะช่วยลดเสมหะได้

4. ซุปไก่ร้อน ๆ ช่วยลดอาการคัดจมูก อาจเติมผักหลาย ๆ สี เพื่อเพิ่มสารแอนติออกซิแดนต์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ซุปไก่ที่ผ่านกระบวนการตุ๋นเคี่ยวนาน ๆ จนโปรตีนย่อยสลายเป็นไดเปปไทด์ อาจช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย

5. สารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน (วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี ช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

[ ... ]

ผลวิจัยชี้ มะนาว ช่วยเลิกบุหรี่ในสองสัปดาห์



ผลวิจัยชี้ มะนาว ช่วยเลิกบุหรี่ในสองสัปดาห์ (กรุงเทพธุรกิจ)

ผศ.กรองจิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวในการประชุมวิชาการ "บุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ" ครั้งที่ 7 เรื่อง "เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจ ต้านภัยบุหรี่" ว่า

จากผลวิจัยพบว่า วิตามินซีมีสารที่ช่วยลดความอยากนิโคตินได้ และช่วยฟื้นฟูร่างกายที่ทรุดโทรมให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า จึงมีการนำมาใช้เพื่อช่วยเลิกบุหรี่ โดยเทคนิคการรับประทานผลไม้รสเปรี้ยวที่มีวิตามินซีสูง โดยเฉพาะมะนาว พบว่าเมื่อนำไปใช้แล้วมีประสิทธิภาพได้ผลดีมาก เนื่องจากมะนาวมีผลต่อการทำงานของต่อมรับรสขม ทำให้รสชาติของบุหรี่เปลี่ยนไป

ผศ.กรองจิต กล่าวอีกว่า วิธีการกินมะนาวช่วยเลิกบุหรี่ ต้องหันมะนาวเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้มีเปลือกติดมาด้วย ขนาดเท่าหัวแม่โป้ง หรือพอคำ เมื่อมีความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ให้กินมะนาวแทน โดยอมแล้วค่อยดูดความเปรี้ยว จากนั้นเคี้ยวเปลือกอย่างช้า ๆ นาน 3-5 นาที จะมีผลทำให้ลิ้นข่ม เฝื่อน จากนั้นดื่มน้ำ 1 อึก นอกจากช่วยลดความอยากนิโคตินแล้ว เมื่อสูบบุหรี่จะทำให้รสชาติบุหรี่เปลี่ยนเป็นขมจนไม่อยากสูบ และสามารถกินมะนาว หรือผลไม้ชนิดอื่นที่มีความเปรี้ยวมาก ๆ ได้ทุกครั้งที่เกิดความอยากบุหรี่

แต่เมื่อเทียบกัน พบว่ามะนาวจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งการเลิกบุหรี่ด้วยการกินมะนาวส่วนใหญ่จะเลิกบุหรี่ได้ใน 2 สัปดาห์ และไม่อยากบุหรี่อีก ถือว่าชนะนิโคตินได้ แต่แม้อาการทางกาย คือความอยากจะหมดไป แต่อาการทางใจบางครั้งยังมีอยู่ เช่น เศร้า หงุดหงิดเหมือนคนอกหัก คนรอบข้างต้องให้กำลังใจ และตั้งใจเลิกอย่างเด็ดขาด จะสามารถเลิกได้อย่างแน่นอน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

[ ... ]

กินมันฝรั่งทอด เท่ากับซดน้ำมันพืช

มันฝรั่งทอด



กินมันฝรั่งทอดเพียงวันละ 1 ถุงเท่ากับซดน้ำมันพืชปีละ 5 ลิตร (ไทยรัฐ)

มูลนิธิโรคหัวใจอังกฤษเปิดเผยความจริงอันน่าตกใจให้ทราบกันว่า ผู้ที่กินของขบเคี้ยว เป็นมันฝรั่งทอดกรอบวันละ 1 ถุง ทุกวัน จะเท่ากับปีหนึ่งซดน้ำมันพืช เข้าไปมากถึง 5 ลิตร

ลูกเด็กเล็กแดงตามชาติตะวันตกล้วนแต่กินมันฝรั่งทอดกรอบเป็นของขบเคี้ยว ไม่ต่ำกว่าวันละถุงกันทุกวัน นอกจากมันจะดูดน้ำมันแล้ว ยังมีเกลือ น้ำตาล และไขมันอยู่ด้วย

ศาสตราจารย์ปีเตอร์ ไวส์เบิร์ก ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ของมูลนิธิ สรุปว่า การกินของที่มีไขมันอยู่มาก แต่ไม่ค่อยมีคุณค่าทางอาหาร นับเป็นภัยแก่สุขภาพเด็กในระยะยาว

"การกินขนมที่ไม่มีประโยชน์ นับเป็นนิสัยที่น่าห่วง เพราะรังแต่จะทำให้เด็กอ้วนและเป็นโรคเบาหวานแบบที่สองขึ้นในวันหน้าเท่านั้น"


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

[ ... ]

เตือนประชากรสูบบุหรี่ เสี่ยงเกิด มะเร็งตับ 1.51 เท่า


สูบบุหรี่



เตือนประชากรสูบบุหรี่เสี่ยงเกิดมะเร็งตับ1.51เท่า (ไทยรัฐ)

มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เตือนประชากรที่สูบบุหรี่มีอัตราการเกิดมะเร็งตับ 1.51 เท่า และผู้ที่เลิกสูบบุหรี่แล้ว มีอัตราการเกิดมะเร็งตับ 1.12 เท่าของผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่...

วันที่ 27 กันยายน มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยรายงานการวิจัยที่พบ ว่า การสูบบุหรี่ว่าเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ งานวิจัยดังกล่าว ตีพิมพ์ในวารสารระบาดวิทยานานาชาติ ฉบับเดือนสิงหาคม 2552 โดยการทบทวนรายงานวิจัยการติดตามศึกษาระยะยาว 38 ชิ้น และรายงานการศึกษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งตับกับประชากรกลุ่มเปรียบเทียบ 58 รายงาน พบว่า ประชากรที่สูบบุหรี่มีอัตราการเกิดมะเร็งตับ 1.51 เท่า และผู้ที่เลิกสูบบุหรี่แล้ว มีอัตราการเกิดมะเร็งตับ 1.12 เท่าของผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ โดยข้อมูลการศึกษาจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกในห้วงเวลาต่าง ๆ มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้ สถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติไอเออาร์ซี ได้สรุปอย่างเป็นทางการแล้วว่า การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งตับ ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐอเมริกาเพียงแต่ระบุว่า หลักฐานบ่งบอกว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ แต่ยังไม่ชี้ชัดลงไปทีเดียว

ศาสตราจารย์นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ กล่าวว่า มะเร็งตับเป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดของชายไทยภาคอีสานและเป็นมะเร็งอันดับสองรองจาก มะเร็งปอดของชายไทยภาคอื่นทุกภาค ที่ผ่านมาเชื่อกันว่า มะเร็งตับในคนไทยมาจากหลายสาเหตุอันมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี การติดเชื้อพยาธิในตับ การได้รับสารก่อมะเร็งจากเชื้อราอะฟลาท็อกซินในถั่ว การกินอาหารดิบและหมักดองที่มีสารก่อมะเร็งปะปน แต่ข้อมูลที่พบว่า คนสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงเกิดมะเร็งตับ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เนื่องจากตับมีหน้าที่ดักกรองและทำลายสารพิษทุกชนิดที่เข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งสารพิษและสารก่อมะเร็งจากควันบุหรี่

"การสูบบุหรี่จึงทำให้ตับได้รับสารก่อมะเร็งมากขึ้น นานเข้าก็เกิดเป็นมะเร็งขึ้นได้ ในคนไทยที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งตับเพิ่มขึ้น เช่น คนที่เป็นพาหะเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรอย่างยิ่งที่จะไม่สูบบุหรี่รวมทั้งหลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่ เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดมะเร็งตับ ซึ่งเป็นมะเร็งที่ร้ายแรงและแทบจะไม่มีทางรักษาเลย ซึ่งเกิดจากการทำงานที่เกี่ยวข้องพร้อมระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพแลพการทำงานเพื่อยกมาตรฐานการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น" ศ.นพ.ประกิต กล่าว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

[ ... ]

รู้เท่าทันอาการนั่งเครื่องบินนาน ๆ

เครื่องบิน

รู้เท่าทันอาการนั่งเครื่องบินนาน ๆ
(สำนักข่าวไทย)

What happen when....

I'm on a long haul flight?

1.หูอื้อ ตอนที่เครื่องทะยานขึ้นฟ้า ความกดอากาศภายในเครื่องจะลดลง ซึ่งส่งผลให้ก๊าซในร่างกายเกิดการขยายตัว การเปลี่ยนแปลงความกดอากาศนี้จะไปอัดอากาศที่อยู่หลังเยื่อแก้วหูลงไป ตามท่อด้านหลังปากคุณ ส่งผลให้เกิดอาการหูอื้อ และได้ยินอะไรไม่ชัดเจน เพื่อให้การได้ยินกลับมาเป็นปกติ ให้คุณเอามือบังจมูกไว้แล้วพ่นลมหายใจออกทางรูจมูกเพื่อบรรเทาก๊าซที่อยู่ ภายในร่างกาย แต่อย่าลืมปิดปากให้สนิทล่ะ

2. ว่ากันว่าอากาศบนเครื่องบินแห้งกว่าในทะเลทรายเสียอีก จึงไม่ต้องแปลกใจถ้านั่งเครื่องบินนานๆ แล้วรู้สึกว่าผิวแห้ง คอแห้ง เหมือนขาดน้ำ ไดอานา แฟร์ไซลด์ ผู้เขียนหนังสือ Jet Smarter บอกว่า "โดยทั่วไปแล้วอาการสูญเสียน้ำจากการนั่งเครื่องบินนานๆ เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง" ทางแก้คือ ดื่มน้ำประมาณ 30 มิลลิลิตร ทุกชั่วโมง และหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และแอลกอฮอล์

3. แค่แก้วเดียวก็พอ งานวิจัยของ Flyana.com ระบุว่า การดื่มของมึนเมา 2 หรือ 3 แก้ว บนเครื่องมีผลต่อร่างกายคุณ เทียบเท่ากับการดื่ม 4-5 แก้ว บนพื้นโลก นั่นเป็นเพราะการนั่งเครื่องบินนาน ๆ ทำให้ออกซิเจนไหลเวียนเข้าสู่สมอง ไม่สะดวกอยู่แล้ว แอลกอฮอล์จะยิ่งมีฤทธิ์ไปขัดขวางกระบวนการนี้เข้าไปใหญ่ แบบนี้ควรต้องดื่มอย่างมีสติ

4. ระวังภาวะพร่องออกซิเจน อากาศบนเครื่องบินซึ่งวนเวียนอยู่อย่างเดิม โดยไม่ได้รับการถ่ายเท บวกกับความกดอากาศต่ำในห้องโดยสาร ส่งผลให้ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดลดลง จนเกิดภาวะพร่องออกซิเจน แฟร์ไซลด์ บอกว่า "สำหรับพวกนักบินไม่ต้องห่วง เพราะพวกเขาได้รับออกซิเจนมากกว่าผู้โดยสารถึง 10 เท่า ภาวะพร่องออกซิเจนทำให้เกิดอาการต่าง ๆ รวมถึงภาวะการมองเห็นบกพร่อง" นี่เป็นอาการระยะสั้น เพราะทันทีที่เท้าคุณแตะถึงพื้น อาการนี้ก็จะหายไปเอง

5. ลิ่มเลือดอุดตันถามหา ก่อนขึ้นเครื่องดูเหมือนว่ารองเท้าที่คุณสวมยังพอดีเป๊ะ แต่หลังจากที่นั่งเครื่องบินไปนานๆ คุณกลับรู้สึกว่ารองเท้าเริ่มคับ นั่นเป็นเพราะ "การนั่งเครื่องบินเป็นเวลานาน ๆ ทำให้เลือดมาคั่งอยู่ที่บริเวณเส้นเลือดดำตรงส่วนขา ทำให้เท้าและข้อเท้าบวม ซึ่งนำไปสู่อาการ DVT (Deep Vein Thrombosis) หรือเลือดคั่งในหลอดเลือดดำส่วนลึก และอาจเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ การลุกขึ้นเดินจะทำให้เส้นเลือหดและบีบตัว ไล่เลือดให้กลับไปเลี้ยงหัวใจได้ตามเดิม" ดร.เซลดอน เชปส์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน ความดันโลหิต แนะนำ

6.อาการเพลียไม่จางหาย เมื่อเท้าของคุณแตะถึงพื้นแล้ว อย่าเพิ่งวางใจไป เพราะว่าร่างกายคุณยังปรับตัวไม่ทัน การเดินทางข้ามเขตเวลาที่แตกต่างกันส่งผลให้ร่างการเกิดอาการ Jet lag หรือ อาการอ่อนเพลียจากการเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นเวลานาน คุณจะเหนื่อยและอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก กรณีที่แย่สุด ๆ คือ คุณอาจนอนไม่หลับและท้องผูกร่วมด้วย แนะนำว่าให้พยายามนอนเอาแรงบนเครื่องบิน ด้วยการกินกล้วยก่อนเครื่องจะขึ้น เพราะกล้วยอุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่ชื่อ ทริปโตฟาน ซึ่งทำให้คุณหลับง่ายขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

10 สนามบินที่ได้ชื่อว่า "น่ากลัว" ที่สุดในโลก

อันดับ 10 สนามบิน JUANCHO E. YRAUSQUIN บนเกาะ SABA ใน NETHERLANDS ANTILLES
ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเกิดโศกนาฎกรรมร้ายแรงที่สนามบินบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการบินต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ที่นี่แหล่ะคือ "หนึ่งในสนามบินที่อันตรายที่สุดในโลก"
เพราะนักบินจะต้องรับมือกับลมกรรโชกในขณะเตรียมแลนดิ้งลงบนรันเวย์ ที่มีความยาวเพียง 400 เมตรเท่านั้น อีกจุดที่ถือว่าอันตรายสุดๆ คือ "ตำแหน่ง" ของรันเวย์ที่ด้านหนึ่งเป็นภูเขาสูง ส่วนอีกด้านเป็นหน้าผา (ปลายสุดของรันเวย์ทั้ง 2 ข้าง เป็นหน้าผา) ซึ่งถ้ามีอะไรผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นตอนขึ้นหรือตอนลงก็จะตกลงไปในทะเลทันที
ปัจจุบันนี้ มีเพียงสายการบิน Windward Islands Airways ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่เปิดบินบริการวันละ 1 เที่ยวบนสนามบินแห่งนี้
พิสูจน์ความน่ากลัวของสนามบินแห่งนี้ได้ ที่นี่ (หวาดเสียวจริงๆ ขอบอก)
อันดับ 9. สนามบินนานาชาติ MADEIRA (FUNCHAL) บนเกาะ MADEIRA ประเทศโปรตุเกส
ช่วงแรกๆ ที่เปิดบริการ สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาวเพียง 1,600 เมตร แถมยังโอบล้อมด้วยภูเขาสูง และท้องทะเล ทำให้การลงจอดเป็นไปได้ยาก มีเพียงนักบินที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้นที่จะสามารถนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ได้
แต่หลังเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับสายการบิน TAP Air Portugal เที่ยวบิน 425 เมื่อปี ค.ศ. 1977 หลังจากนักบินพยายามนำเครื่องลงจอด 2 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุในความพยายามลงจอดครั้งที่ 3 เนื่องจากรันเวย์สั้นเกินไป (สำหรับเครื่องบิน Boeing 727-200) ประกอบกับมีฝนตกหนัก และลมกระโชกแรงทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี เครื่องบินจึงไถลออกนอกรันเวย์ และชนเข้ากับสะพานจนขาด 2 ท่อนทำให้เกิดไฟลุกท่วม เป็นเหตุให้ผู้โดยสารกว่า 100 คนเสียชีวิต
Madeira International Airport
สนามบินแห่งนี้จึงได้ทุ่มงบประมาณในการขยายรันเวย์ให้มีความยาวมากขึ้นเป็นสองเท่า โดยทำส่วนต่อขยายให้ยื่นออกไปในทะเล โดยมีเสา 180 ต้นรองรับน้ำหนัก จนกระทั่งได้รับรางวัล "Outstanding Structures Award" จาก International Association for Bridge and Structural Engineering (IABSE) ซึ่งเปรียบเหมือนรางวัล "ออสการ์" ของวงการวิศวกรรมที่โปรตุเกส ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ดี นักบินที่จะนำเครื่องบินลงจอดบนสนามบินแห่งนี้ จำเป็นต้องได้รับการเทรนนิ่งเป็นพิเศษ เพราะการลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ นักบินจะต้องหันหัวเครื่องบินไปที่ภูเขา และเอียงเครื่องบินไปทางด้านขวาในนาทีสุดท้าย เพื่อจะตั้งลำให้อยู่ในแนวเดียวกับรันเวย์ที่จะปรากฏให้เห็นตรงหน้าชนิดที่เรียกว่า แทบไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว
ชมการลงจอดของเครื่องบินแอร์บัส เอ 320 ที่สนามบินแห่งนี้ได้ ที่นี่
อันดับ 8. สนามบินนานาชาติ JOHN F. KENNEDY ที่เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
สนามบินแห่งนี้ติดโผด้านความน่ากลัวตรงที่ นักบินจะต้องคอยระมัดระวังเครื่องบินลำอื่นๆ ที่กำลังบินขึ้น-ลงยังสนามบิน LaGuardia และ สนามบิน Newark ที่อยู่ใกล้ๆ กันระหว่างนำเครื่องลงจอด ในขณะที่ปลายด้านหนึ่งของรันเวย์สิ้นสุดลงที่ผืนน้ำของ Jamaica Bay
ชมภาพการลงจอดของเครื่องบินโบอิ้ง 747 ที่สนามบินแห่งนี้ได้ ที่นี่
อันดับ 7. สนามบินนานาชาติ TONCONTIN ใน TEGUCIGALPA ประเทศฮอนดูรัส
สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาวเพียง 1,863 เมตร นับเป็นหนึ่งในสนามบินนานาชาติที่มีรันเวย์สั้นที่สุดในโลก และยังมีภูเขาล้อมรอบ ในการนำเครื่องบินลงจอดนักบินจะต้องบังคับเครื่องบินให้บินเลี้ยวไปทางด้านซ้าย 45 องศา ก่อนที่เครื่องบินจะแตะพื้นรันเวย์เพียงไม่กี่นาที
สนามบินแห่งนี้เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นกับเครื่องบินแอร์บัส เอ 320 ของสายการบิน Grupo TACA ที่บินมาจาก ซาน ซัลวาดอร์ เมื่อเดือนพ.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นความผิดพลาดระหว่างการนำเครื่องบินลงจอดของนักบิน
พิสูจน์ความน่ากลัวของสนามบินแห่งนี้ได้ ที่นี่ (ภาพจากพื้นดิน) และ ที่นี่ (ภาพจากห้องนักบิน) - ห้ามพลาดทั้ง 2 คลิป
อันดับ 6. สนามบิน BARRA ประเทศสก๊อตแลนด์
สนามบินแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะ Barra ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ในพื้นที่***งไกลของประเทศสกอตแลนด์ ที่นี่นับเป็นหนึ่งในสนามบินเพียง 2 แห่งในโลก ที่ใช้ "ชายหาด" เป็นรันเวย์ (อีกแห่งอยู่ที่เกาะ Fraser Island ประเทศออสเตรเลีย)
และเนื่องจากเวลาน้ำขึ้นรันเวย์ของสนามบินแห่งนี้จะหายไป ดังนั้นตารางบินของสนามบินแห่งนี้จะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่น้ำขึ้นน้ำลง และถ้ามีเหตุฉุกเฉินให้ต้องนำเครื่องลงจอดในเวลากลางคืน ก็จะใช้วิธีนำรถยนต์มาจอดเรียง และเปิดไฟ เพื่อให้เกิดแสงสะท้อนบริเวณแผ่นโลหะที่ถูกเรียงไว้บริเวณชายหาด เป็นการนำทางให้นักบินสามารถนำเครื่องบินลงจอดได้อย่างปลอดภัย

อย่างไรก็ดี ชายหาดแห่งนี้ไม่ได้มีไว้ให้เครื่องบินขึ้น-ลงเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเก็บหอยอันเลื่องชื่อ โดยผู้ที่เข้ามาท่องเที่ยวหรือเก็บหอยบริเวณชายหาดแห่งนี้ จะต้องคอยสังเกตสัญญาณเตือน กันเอาเอง เมื่อใดก็ตามที่ถุงลมลอยขึ้น แสดงว่าในขณะนั้นสนามบินกำลังจะเปิดให้เครื่องบินขึ้น-ลง ซึ่งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะต้องรีบออกจากชายหาดทันที
ชมคลิปเครื่องบินลงจอดบนชายหาดได้ ที่นี่
อันดับที่ 5 รันเวย์จอดเครื่องบิน MATEKANE ที่ประเทศเลโซโธ
ภาพที่เห็น คือ รันเวย์ที่มีความยาวเพียง 400 เมตร และมีไว้สำหรับการบินบริการทางการแพทย์โดยเฉพาะ
การนำเครื่องขึ้นที่รันเวย์แห่งนี้นับเป็นประสบการณ์ขนหัวลุกของผู้โดยสาร เพราะเครื่องบินจะหล่นผลุบลงไปที่หน้าผาซึ่งมีความลึก 600 เมตร ก่อนที่จะเริ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ซึ่งนักบิน Tom Claytor เปิดเผยว่า การนำเครื่องขึ้นวิธีนี้จะปลอดภัยกว่าการบินขึ้นโดยตรงเหนือหน้าผา
ขออภัย - ไม่มีคลิปค่ะ
อันดับที่ 4 สนามบิน GIBRALTAR ที่ GIBRALTAR ใน EUROPE
สนามบินแห่งนี้อยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก และอ่าว Algeciras ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก รันเวย์ของสนามบินแห่งนี้สร้างจากกรวดผสมน้ำมันดิน มีความยาวไม่ถึง 2,000 เมตร นักบินจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งในการลงจอดที่แน่นอนและแม่นยำ และต้องมีความพร้อมที่จะเบรคทันทีที่ล้อแตะรันเวย์ เพราะไม่อย่างนั้นมีหวังได้ลงไปจอดในทะเลแน่ๆ
ที่น่ากลัวอีกอย่างคือรันเวย์แห่งนี้มีถนนตัดผ่าน เวลามีเครื่องบินขึ้น-ลง ที่กั้นถนนก็จะพับลงมากั้นไม่ให้รถผ่าน (คล้ายเวลาวิ่งข้ามทางรถไฟในบ้านเรา)
ชมคลิปเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ได้ ที่นี่ ชมคลิปรถหยุดให้เครื่องบินผ่านได้ ที่นี่
อันดับที่ 3 สนามบิน RAEGAN NATIONAL AIRPORT ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา
ไม่น่าเชื่อเลยว่าสนามบินในอเมริกาจะติดโผ "น่ากลัวที่สุดในโลก" ถึง 2 แห่ง โดยสนามบินเรแกนแห่งนี้ ตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่คาบเกี่ยวของเขต "ห้ามบิน" ถึง 2 แห่งด้วยกัน นั่นก็คือ น่านฟ้าเหนือ เพนตาก้อน และสำนักงานใหญ่ของซีไอเอ ที่ห้ามไม่ให้เครื่องบินใดๆ บินผ่านโดยเด็ดขาด นักบินจึงจำเป็นต้องบินเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว ก่อนที่จะวกกลับมาลงจอดในสนามบิน
ส่วนการนำเครื่องบินๆ ขึ้น ก็ยุ่งยากไม่แพ้กัน เพราะนักบินจำเป็นต้องไต่ระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังต้องเบนเครื่องบินไปทางด้านซ้าย เพื่อไม่ให้เครื่องบินๆ ชนทำเนียบขาวอีกด้วย
คลิก เพื่อชมคลิป
อันดับ 2 สนามบินนานาชาติ PRINCESS JULIANA ใน ST. MAARTEN, CARIBBEAN
สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาวเพียง 2,000 เมตร ถึงแม้ว่าเครื่องบินที่เหมาะสมในการนำมาลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ คือ เครื่องบินเจ็ทขนาดกลาง แต่ก็มีเครื่องบินขนาดใหญ่จากยุโรป เช่น โบอิ้ง 747 และแอร์บัส A340 มาลงจอดที่สนามบินแห่งนี้เช่นกัน
ในการนำเครื่องบินขนาดใหญ่ลงจอด นักบินจะต้องบังคับเครื่องบินเหล่านี้ให้บินในระดับต่ำอย่างเหลือเชื่อเหนือชายหาด Maho ถึงกระนั้นก็ตาม ยังไม่เคยมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดภายในสนามบินแห่งนี้แต่อย่างใด
ชมคลิปดูแล้วจะรู้ว่าเครื่องบินๆ ต่ำแค่ไหน คลิกโลด
ชมคลิปเครื่องบินกำลังจะเทคออฟ (เสียงดัง + ลงแรงมากจนนักท่องเที่ยวต้องวิ่งหนีลงทะเล) คลิก

และอันดับ 1 ก็คือ สนามบิน PARO ที่ประเทศภูฎาน

หมู่บ้าน Paro ถูกโอบล้อมด้วยยอดเขาหิมาลายันที่มีความสูง 5,000 เมตร ด้วยเหตุนี้ สนามบินในเมือง Paro จึงนับเป็นสนามบินที่มีความท้าทายในการนำเครื่องลงจอดมากที่สุดในโลก และมีนักบินเพียง 8 คนในโลกเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติในการนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์เดียว เปิดบริการตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกเท่านั้น ปัจจุบัน มีเพียงสายการบิน Druk Air ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นเพียงแห่งเดียว ที่บินบริการบนสนามบินแห่งนี้
[ ... ]

มลพิษเมืองหลวง

มลพิษ กรุงเทพ



มลพิษเมืองหลวง (Momypedia)
โดย: พ.ญ.สิรินันท์ บุญยะลีพรรณ

เพื่อนบ้านที่เจอะเจอกันได้ตลอดเวลาของชาวกรุงเทพฯ ทุกท่าน

อาจจะเป็นเพราะคนไทยมีนิสัยไม่ค่อยชอบย้ายถิ่นฐาน หรือถ้าจะย้ายมักย้ายเข้าสู่เมืองใหญ่มากกว่าย้ายออก เมืองใหญ่จึงมีคนมากขึ้นทุกวัน ...เอาล่ะ ไหน ๆ ก็รักจะอยู่กรุงเทพฯ แล้ว มารู้จัก "มลพิษทางอากาศ" เพื่อนร่วมบ้านร่วมเมืองของเรากันหน่อยดีกว่าค่ะ

1.ฝุ่นละออง

มาตรฐานโลกเขากำหนดไว้ว่า ฝุ่นละอองแขวนลอยทั้งหมดไม่ควรเกิน 330 ไมโครกรัม : ลูกบาศก์เมตร แต่กรุงเทพฯ มีฝุ่นเข้าไปตั้ง 800 ไมโครกรัม : ลูกบาศก์เมตรฝุ่นพวกนี้มาจากไหน ส่วนหนึ่งก็เป็นฝุ่นเดิมสะสม ลอยแล้วตกลงมาใหม่ โดนกวาดฟุ้งลอยขึ้นไปอีก มาจากการก่อสร้าง จากโรงงานอุตสาหกรรม และส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งมาจากควันท่อไอเสียรถที่มีการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของน้ำมันดีเซล เรียกเป็นภาษาทางการว่า Diesel Exhaust Particulates (DEP) ซึ่งฝุ่นประเภท DEP นี้ มีสารที่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ได้ด้วยค่ะ

ฝุ่นเหล่านี้ให้โทษต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เด็กที่เป็นหอบหืด หรือโรคแพ้อากาศ เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบในหลอดลม ยิ่งถ้าเป็นฝุ่นขนาดเล็กที่เรียกว่า PM 10 คือขนาดต่ำกว่า 10 ไมครอน (1 ไมครอน = 0.001 มิลลิเมตร) ยิ่งอันตรายมาก เพราะมันสามารถเข้าไปได้ลึกถึงถุงลมเล็ก ๆ ในปอดเลยค่ะ

จากการวัดล่าสุดตามริมถนนในกรุงเทพฯ พบเจ้าฝุ่น PM 10 นี้มีปริมาณ 150 ไมโครกรัม : ลูกบาศก์เมตร สูงเกินค่ามาตรฐานคือ 120 ไมโครกรัม : ลูกบาศก์เมตร และในบริเวณทั่วไปของกรุงเทพฯ ที่อยู่ห่างจากถนนก็ยังมีค่าเฉลี่ยรายปีของ PM 10 ถึง 66 ไมโครกรัม : ลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 55 ไมโครกรัม : ลูกบาศก์เมตรค่ะ

นั่นเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมเราจึงพบเด็กเป็นโรคภูมิแพ้และโรคหอบหืดกันมากขึ้น

2. ก๊าซโอโซน

คุณสมบัติของโอโซน คือช่วยป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตสำหรับชั้นโอโซนที่อยู่ในบรรยากาศ และสามารถนำมาฆ่าเชื้อโรคในน้ำได้ แต่โทษของมันก็มี เปรียบง่าย ๆ ก็เหมือนคลอรีน เราเอาคลอรีนมาฆ่าเชื้อโรคในการทำน้ำประปา แต่คงไม่มีใครอยากเอาคลอรีนมาสูดดม จริงไหมคะ

โอโซนก็เหมือนกัน ถ้าเอาโอโซนมาสูดดมโดยตรงในปริมาณเกินมาตรฐาน เขาพิสูจน์กันมาแล้วว่ามีผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจแน่นอนค่ะ ค่ามาตรฐานที่สหรัฐอเมริกากำหนดคือ 240 ไมโครกรัม : ลูกบาศก์เมตร หรือเท่ากับ 0.12 ppm ถ้ามีปริมาณเกินกว่านี้ จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของปอด ทั้งในคนปกติ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ และโรคหอบหืด เพราะโอโซนไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ และเพิ่มความไวของหลอดลมด้วยค่ะ

ทีนี้โอโซนในท้องถนนกรุงเทพฯ มาจากไหน ส่วนใหญ่มาจากควันท่อไอเสียรถยนต์ ซึ่งจะมีก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์และสารไฮโดรคาร์บอนออกมาด้วย เมื่อสาร 2 ชนิดนี้ทำปฏิกิริยากับรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด ก็จะเกิดเป็นโอโซนขึ้น ตอนนี้รอบ ๆ กรุงเทพฯ เราเริ่มจะมีปริมาณโอโซนเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดเป็นบางวันแล้วค่ะ

3. ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์

ส่วนใหญ่มาจากท่อไอเสียรถยนต์อีกเหมือนกัน พอออกมาแล้วส่วนหนึ่งไปทำปฏิกิริยากับรังสีอัลตราไวโอเลต ได้เป็นก๊าซโอโซน ซึ่งเป็นก๊าซพิษอย่างที่กล่าวแล้ว ตัวของก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์เองก็ให้โทษต่อทางเดินหายใจเหมือนกัน โดยทำให้มีการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ อาจมีอาการน้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ หายใจลำบาก โชคดีว่าในกรุงเทพฯ ยังมีค่าก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ไม่เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ค่ะ

4. ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์

คงจำกันได้ว่า ถ้าเรานอนหลับในรถยนต์ที่ติดเครื่องไว้อาจตายได้เพราะก๊าซตัวนี้ ซึ่งมาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากรถยนต์ และเนื่องจากมันไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เราจึงไม่รู้ตัวเมื่อสูดหายใจเข้าไป เมื่อเข้าไปแล้วมันจะไปจับตัวกับสารในเม็ดเลือดแดงแทนที่ออกซิเจน ทำให้ร่างกายโดยเฉพาะสมองขาดออกซิเจน มีอาการปวดศีรษะ มึนงง อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ถ้าสูดเข้าไปมาก ๆ ก็ตายได้ค่ะ

ในกรุงเทพฯ ยังมีค่าก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดค่ะ ส่วนหนึ่งเพราะว่าเครื่องยนต์รุ่นใหม่ถูกกำหนดให้มี Catalytic Converter ตั้งแต่ พ.ศ.2536 เลยทำให้มีก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ลดลงมาจากเดิมที่เคยสูง

ไหน ๆ พูดถึงมลพิษในอากาศแล้ว ขอแถมอีกอย่างที่ไม่เกี่ยวกับท้องถนน คือควันบุหรี่ เพราะเจ้านี่มีพิษร้ายเหลือ ก็มันมีสารพิษอยู่ตั้ง 4,000 ชนิดนี่คะ ผลเสียของมันนอกจากจะมีทั้งต่อตัวผู้สูบเองแล้ว คนที่อยู่ข้างเคียงจะได้รับผลดังนี้ค่ะ

คือต้องสูดหายใจเอาสารพิษจากควันบุหรี่เข้าไปด้วย สารบางอย่าง เช่น Nitrosamine ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งนั้น ปล่อยออกมากับควันบุหรี่มากกว่าที่ผู้สูบบุหรี่รับเข้าไปอีกค่ะ เลยทำให้คนรอบข้างที่หายใจเอาควันบุหรี่เข้าไปรับสารนี้มากยิ่งกว่าตัวผู้สูบเองถึง 50 เท่า แม้แต่ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ที่เพิ่งเล่ามานั้นก็มีอยู่ในควันบุหรี่ค่ะ และคนรอบข้างก็รับเข้าไปมากกว่าผู้สูบบุหรี่เองด้วย

เราจึงพบว่าเด็ก ๆ ในบ้านที่มีคนสูบบุหรี่ จะมีโอกาสเจ็บป่วยเป็นโรคในระบบทางเดินหายใจ และมีโอกาสเป็นโรคหอบหืดสูงกว่าเด็กที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีใครสูบบุหรี่หลายเท่าค่ะ

ถ้าใครอยากทราบข้อมูลว่าแถวบ้านมีมลพิษมากน้อยขนาดไหน ลองเข้าไปดูใน internet นะคะ มี home page ของกรมควบคุมมลพิษอยู่ที่ www.pcd.go.th ค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

[ ... ]

อาหารไทย 22 ชนิด ต้านโรคมะเร็งได้



อาหารไทยต้านมะเร็ง
(ไทยโพสต์)

วิจัยพบอาหารไทย 22 ตำรับลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ผัดคะน้าน้ำมันหอยสุดยอด ยับยั้งการเกิดสารก่อมะเร็งในอาหารปิ้ง ย่าง รมควันมากที่สุด รองลงมาคือไก่ทอดสมุนไพร ทอดมันปลากราย

น.ส.มลฤดี สุขประสารทรัพย์ นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การควบคุมของ รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ หัวหน้าฝ่ายพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ อาจารย์ที่ปรึกษา ด้วยการสนับสนุนของสภาวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมว่า ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยถึงแบบจำลองที่เลียนแบบการกินอาหารที่มีสารก่อกลายพันธุ์ หรือสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารประเภทปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ต้มตุ๋นเป็นระยะเวลานานๆ เกิน 4 ชั่วโมงขึ้นไป ก็เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเช่นกัน

ทั้งนี้ได้นำอาหารดังกล่าวมาทำปฏิกิริยากับสารไนไตรท์ หรือดินประสิว ในสภาวะคล้ายการย่อยอาหารของคนเรา แล้วกินอาหารไทยร่วมด้วยจำนวน 22 ตำรับ คือ

แกงเลียง
แกงส้มผักรวม
แกงเผ็ดเป็ดย่าง
แกงเขียวหวานไก่
แกงจืดตำลึง
แกงจืดวุ้นเส้น
ต้มยำกุ้ง
ต้มยำเห็ด
ผัดคะน้าน้ำมันหอย
ผัดผักรวมน้ำมันหอย
ผัดกระเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว
ยำวุ้นเส้น ส้มตำไทย
เต้าเจี้ยวหลน
น้ำพริกกุ้งสด
น้ำพริกลงเรือ
ไก่ทอดสมุนไพร
ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์
ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่และมะเขือเทศ
ฉู่ฉี่ปลาทับทิม
ทอดมันปลากราย
ห่อหมกปลาช่อนใบยอ

น.ส.มลฤดีกล่าวว่า การวิจัยครั้งนี้ได้ใช้สารสกัดจากอาหารไทย 22 ตำรับ ซึ่งแต่ละชนิดถูกเติมลงในสารละลายของแต่ละแบบจำลอง แล้วนำมาทดสอบการก่อกลายพันธุ์ โดยการศึกษาการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์ของสารเคมีที่เป็นตัวแทนสารพิษ ที่ได้จากการกินเนื้อสัตว์ปิ้ง ย่าง รมควัน คือสารโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons, PAHs) ระหว่างทำปฏิกิริยากับไนไทรต์ พบว่า กลุ่มอาหารไทยที่ให้ผลในการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์ระดับสูงได้แก่ ผัดคะน้าน้ำมันหอย ไก่ทอดสมุนไพร ทอดมันปลากราย แกงเลียง ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่และมะเขือเทศ ผัดกะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว แกงเผ็ดเป็ดย่าง แกงจืดตำลึง ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ส้มตำไทย และผัดผักรวมน้ำมันหอย

"สารสกัดจากผัดคะน้าน้ำมันหอยสามารถยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์มากที่สุด ส่วนเมนูอื่นๆ มีผลยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย" น.ส.มลฤดีกล่าว

น.ส.มลฤดีระบุว่า กลุ่มอาหารไทยที่ให้ผลในการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์ระดับกลาง ได้แก่ ฉู่ฉี่ปลาทับทิม น้ำพริกลงเรือ ห่อหมกปลาช่อนใบยอ แกงจืดวุ้นเส้น แกงเขียวหวานไก่ แกงส้มผักรวม และต้มยำเห็ด เรียงตามลำดับ ส่วนกลุ่มอาหารไทยที่ให้ผลในการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์น้อยที่สุด เรียงตามลำดับจากน้อยถึงน้อยมากที่สุดคือ แกงจืดวุ้นเส้น แกงจืดตำลึง ส้มตำไทย ต้มยำเห็ดและแกงส้มผักรวม

ในส่วนของการศึกษาการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์ของสารเคมีที่เป็นตัวแทนสารพิษ คือ เฮทเทอโรไซคลิก เอมีน (Heterocyclic Amines) ที่ได้จากการต้มปลาเป็นเวลานานระหว่างทำปฏิกิริยากับไนไตรท์นั้น น.ส.มลฤดี กล่าวว่า ผลการยับยั้งแสดงในระดับปานกลาง ซึ่งสารสกัดจากส้มตำไทยให้ผลดีที่สุด รองลงมาคือแกงส้มผักรวม ส่วนตำรับอาหารต่างๆ ที่ให้ผลรองลงมาได้แก่ ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผัดผักรวมน้ำมันหอย แกงเลียง ยำวุ้นเส้น ผัดคะน้าน้ำมันหอย ไก่ทอดสมุนไพร ฉู่ฉี่ปลาทับทิม ห่อหมกปลาช่อนใบยอ แกงเขียวหวานไก่ ทอดมันปลากราย แกงเผ็ดเป็ดย่าง น้ำพริกลงเรือ ผัดกะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว ต้มยำเห็ด แกงจืดวุ้นเส้น ต้มยำกุ้ง น้ำพริกกุ้งสด แกงจืดตำลึง และไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่และมะเขือเทศ ตามลำดับ สำหรับเต้าเจี้ยวหลนไม่แสดงผลการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์

"ส่วนการศึกษาการยับยั้งการเกิดสารก่อกลายพันธุ์ของสารเคมีที่เป็นตัวแทนสารพิษ เฮทเทอโรไซคลิก อะมีน ที่ได้จากเนื้อตุ๋นเป็นเวลานานระหว่างทำปฏิกิริยากับไนไตรท์พบว่า ผลการยับยั้งแสดงในระดับต่ำ โดยสารสกัดจากส้มตำไทยให้ผลดีที่สุด รองลงมาได้แก่ ยำวุ้นเส้น แกงเลียง ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ แกงเผ็ดเป็ดย่าง แกงเขียวหวานไก่ ทอดมันปลากราย ต้มยำกุ้ง แกงส้มผักรวม และผัดผักรวมน้ำมันหอยตามลำดับ" น.ส.มลฤดีกล่าว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

[ ... ]