Saturday, December 19, 2009

คนไทย กับการกิน พาราเซตามอล เกินขนาด

ยา พาราเซตามอล

คนไทย กับการกิน พาราเซตามอล เกินขนาด (อสมท)

ซองยาพาราเซตามอลมักระบุให้กิน 2 เม็ดทุก 4 -6 ชั่วโมง ถ้าปฏิบัติตามนั้นจริงแปลว่าผู้ป่วยกินยาพาราวันละ 12 เม็ด!

พาราเซตามอล ซึ่งคนไทยมักเรียกยานี้สั้น ๆ ว่า "พารา" เป็นยาแก้ปวด ลดไข้ ที่ใช้กันบ่อยที่สุดทั้งจากการสั่งใช้โดยแพทย์ หรือการซื้อหามาเพื่อรักษาตนเอง แต่กลับเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่าคนไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับยานี้เกินขนาด ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง

โดยทั่วไปพาราเซตามอลจัดเป็นยาแก้ปวด ลดไข้ ที่มีอันตรายจากการใช้น้อยกว่ายาแก้ปวด ลดไข้ ชนิดอื่นเช่นแอสไพริน เนื่องจากแอสไพรินมีผลยับยั้งการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดออกแล้วหยุดยาก จึงห้ามใช้ลดไข้ในคนที่เป็นไข้เลือดออก และห้ามใช้แก้ปวดภายหลังการผ่าตัดหรือถอนฟัน

แอสไพรินยังทำให้เกิดแผลที่กระเพาะอาหาร หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร อาเจียนเป็นเลือด หรือกระเพาะอาหารทะลุได้ แต่พาราเซตามอลไม่มีอันตรายดังกล่าว ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่าง ๆ ของแอสไพรินมากกว่าผู้ใช้ยาที่มีอายุน้อย ดังนั้นสมาคมแพทย์ผู้รักษาผู้สูงอายุแห่งสหรัฐอเมริกา จึงแนะนำให้ชาวอเมริกันที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ใช้พาราเซตามอลเป็นยาหลักในการบรรเทาปวด

นอกจากนี้สมาคมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคข้อในหลายประเทศทั่วโลก ต่างแนะนำให้ใช้พาราเซตามอลเป็นยาขนานแรก กับผู้ที่มีอาการปวดข้อจากโรคข้อเข่าเสื่อมแทนการใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน (บรูเฟน) ไดโคลฟีแนค (โวลทาเรน) ซีลีค็อกสิบ (เซเลเบร็ก) หรือ อีโตริค็อกสิบ (อาร์ค็อกเซีย) เนื่องจากบรรเทาปวดได้พอ ๆ กันแต่มีความปลอดภัยกว่ามาก

พาราเซตามอล ยังเป็นยาที่ควรเลือกใช้เป็นอันดับแรกในเด็ก ในผู้ที่เป็นโรคไต ในผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ในผู้ที่เป็นหอบหืด ซึ่งอาจแพ้ยาในกลุ่มแอสไพรินได้ง่าย ตลอดจนผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งต่างเป็นข้อห้ามใช้ของแอสไพรินทั้งสิ้น พาราเซตามอลจึงมีที่ใช้กว้างขวางทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

อันตรายที่สำคัญที่สุดของพาราเซตามอลคือ การเกิดพิษต่อตับ ในประเทศสหรัฐอเมริกาการกินพาราเซตามอลเกินขนาด เป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งของการเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน จนทำให้ตับวายซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต หรือต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

Friday, December 18, 2009

ปวดศีรษะ แสบตา ควรเช็กแสงไฟที่โต๊ะ


ทำงาน

ปวดศีรษะ แสบตา ควรเช็กแสงไฟที่โต๊ะทำงาน (Lisa)

หากคุณรู้สึกปวดศีรษะอยู่เสมอ หรือแสบตาเป็นประจำขณะนั่งทำงานอยู่ล่ะก็ คุณควรสำรวจไฟในที่ทำงานของคุณ

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่า แสงไฟที่ผิดปกติที่โต๊ะทำงานจะทำให้คุณต้องเพ่งสายตา จนอาจก่อให้เกิดอาการดังกล่าวได้

โดยแสงไฟที่โต๊ะทำงานไม่ควรส่องสว่างจ้าเข้าดวงตา หรือให้แสงที่ไม่สม่ำเสมอจนดวงตาต้องคอยปรับม่านรับแสงตลอดเวลา ควรใช้แสงธรรมดา หรือแสงไฟสีขาวเพียงสีเดียวก็จะช่วยถนอมสายตาของคนทำงานได้

รู้แล้วก็ลองไปสำรวจแสงไฟที่โต๊ะทำงานของคุณดูนะคะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

Thursday, December 17, 2009

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อันตรายใกล้ตัว

โทรศัพท์มือถือ



คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อันตรายใกล้ตัว (Momypedia)
โดย Dolly

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีอยู่ทุกที่ มาหาวิธีป้องกันดีกว่า

ยุคนี้เลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เลยค่ะที่ชีวิตเกือบ 24 ชั่วโมงของเราจะต้องข้องแวะกับอุปกรณ์ไฟฟ้า และก็คงไม่ต้องกังวลอะไรหรอกค่ะ ถ้าเจ้าอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ได้มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโผล่ออกมา เป็นของแถมทุกครั้งที่เราใช้งาน และด้วยเหตุผลนี้เองเราถึงต้องรู้เท่าทันเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จะได้หลีกเลี่ยงและป้องกันตัวเองได้ถูกต้องไงล่ะคะ

ฮัลโหล ฮัลโหล

ติดอันดับต้น ๆ ของความเสี่ยงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเลยล่ะค่ะ คิดดูเอาล่ะกันขนาดในปั๊มน้ำมัน สนามบินหรือห้องไอซียูยังต้องปิดเลยค่ะ นับประสาอะไรกับเจ้าสมองอันแสนบอบบางของมนุษย์เรา ยิ่งเด็ก ๆ กะโหลกยังบางอยู่ ให้ฮัลโหลด้วยมือถือวันละ1-2 ชั่วโมงแย่แน่ค่ะ เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไปทำลายสารพันธุกรรมในเม็ดเลือด เสี่ยงต่อการเป็นเนื้องอกในสมองชนิดหนึ่ง

มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารออคคูเพชั่นนอลแอนด์เอ็นไวรอนเมนทอล โดยนายเลนนาร์ท ฮาร์เดล พบว่าคนที่อยู่ในชนบทที่ใช้โทรศัพท์มือถือ มีโอกาสเสี่ยงเป็นเนื้องอกในสมองมากกว่าคนในเมือง เพราะว่าการใช้โทรศัพท์ในพื้นที่ห่างไกล ทำให้โทรศัพท์ต้องปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในขนาดที่มากกว่าเดิม และยังตั้งเสาสัญญาณในบริเวณใกล้กันอีกด้วย

ฮัลโหลอย่างรู้ทัน

ฝึกใช้สมอลทอล์คจนเป็นนิสัย ถึงแม้จะคุยแค่ครู่เดียวแต่หลายครู่รวมกันก็เยอะอยู่ค่ะ

อย่าให้เด็กเล็กใช้โทรศัพท์มือถือโดยเด็ดขาดหากไม่จำเป็นจริง ๆ

เก็บมือถือไว้ในกระเป๋าดีกว่าเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือ อาจจะทำลายอวัยวะภายในได้ค่ะ


เจ้าสมองกลคอมพิวเตอร์

มีงานวิจัยจากต่างประเทศหลายชิ้นออกมาบอกค่ะว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถทำอันตรายต่อมนุษย์เราได้ เช่น คลื่นรังสีจากคอมพิวเตอร์และมอนิเตอร์ ทำให้ผู้หญิงมีโอกาสตั้งครรภ์น้อย หรือเสี่ยงที่เด็กในครรภ์จะผิดปกติ แท้ง หรือบางรายอาจจะคลอดก่อนกำหนด ซ้ำยังกระตุ้นให้เซลล์ที่ควบคุมแคลเซียมทำงานเร็วขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดเป็นโรคมะเร็งได้ง่ายอีกด้วย

แต่ทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็ยังไม่มีผลการรับรองว่าเป็นจริงนะคะ ซึ่งเมื่อปี1998 องค์การอนามัยโลกก็ออกมาสรุปเรื่องนี้ว่า ไม่พบปัญหาเรื่องสายตา และต้อกระจกเกิดขึ้นกับคนที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ แต่อาจจะพบอาการปวดศีรษะและสายตาล้าจากการมองจอที่มีแสงจ้าเป็นเวลานาน ส่วนประเด็นเรื่องความผิดปกติของเด็กในครรภ์นั้น รายงานการศึกษาวิจัยระบาดทางระบาดวิทยา ก็ไม่พบว่ามีรังสีจากจอคอมพิวเตอร์มีผลต่อการตั้งครรภ์ ซึ่งความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นกับเด็กในครรภ์นั้น น่าจะเกิดจากความเครียด ท่านั่งและการนั่งเป็นเวลานาน ๆ ค่ะ

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า




รับมือเจ้าสมองกล

วางจอคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากสายตา 50-70 เซนติเมตร และตำแหน่งกลางจอควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตา 20 องศา ส่วนเมาส์หรือคีย์บอร์ดไม่ควรแข็งเกินไป เพราะส่งผลให้เกิดเอ็นข้อมืออักเสบได้

หมั่นพักสายตาและใช้กระจกกรองแสงเพื่อลดคลื่นแม่เหล็กและรังสีจากจอ

ส่วนเจ้าโน้ตบุ๊คอย่าวางไว้บนตักนาน ๆ โดยเฉพาะคุณผู้ชายค่ะ เพราะความร้อนจะทำให้อสุจิของคุณลดลง วางไว้บนโต๊ะหรือหาเบาะมารองจะดีกว่าค่ะ

ไม่ควรให้เด็กอยู่กับคอมพิวเตอร์นาน เพราะนอกจากปัญหาสายตาอาจจะมีปัญหาเด็กติดเกม และพฤติกรรมก้าวร้าวตามมาค่ะ


ไมโครเวฟ

คลื่นไมโครเวฟเป็นคลื่นแบบเดียวกับโทรศัพท์มือถือค่ะ คือคลื่นความร้อนทำลายเซลล์ ซึ่งคลื่นชนิดนี้มีฤทธิ์ทำลายเซลล์ ทำให้ความยาวคลื่นสมองสั้นลง สมองเสื่อม

แต่ถึงแม้คลื่นที่ใช้ในเครื่องไมโครเวฟจะไม่เป็นอันตราย เพราะมีชนวนหุ้มอยู่ ก็ไม่ควรชะล่าใจใช้ไมโครเวฟประกอบอาหารไปทุกอย่าง เพราะจะทำให้เสียวิตามินและแร่ธาตุที่อยู่ในอาหารได้ เนื่องจากความร้อนในไมโครเวฟมีปริมาณสูง เช่น นึ่งผักก็ไม่ควรนึ่งกับไมโครเวฟ หรือต้มนมให้เดือดก็ไม่ควร เพราะคลื่นไมโครเวฟจะทำลายสารอาหารที่มีประโยชน์จนหมด

ใช้เวฟอย่างปลอดภัย

ปฏิบัติตามคู่มือการใช้ไมโครเวฟอย่างเคร่งครัด

ภาชนะที่จะใช้ต้องเป็นสำหรับใช้ในไมโครเวฟเท่านั้นนะคะ จานที่เคลือบทองหรือฟอยด์ห้ามเด็ดขาด เพราะเป็นชนวนอาจทำให้เครื่องช็อตและเกิดไฟไหม้ได้ค่ะ

ไม่ควรใส่ไข่ทั้งลูกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้เกิดแรงดัน ทำไข่ระเบิดเกิดอันตรายได้แบบไม่คาดคิดเลยล่ะ

แค่ปฏิบัติตามคำแนะนำของคู่มือการใช้งานแต่ละเครื่องอย่างเคร่งครัด เท่านี้คุณ ๆ ก็ปลอดภัยจากคลื่นรังสีที่เวียนวนอยู่รอบตัวแล้วค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

[ ... ]

Wednesday, December 16, 2009

อากาศเปลี่ยน...ระวังทอนซิลอักเสบ

ทอนซิลอักเสบ

อากาศเปลี่ยน...ระวังทอนซิลอักเสบ (Lisa)

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย หลายคนไม่ทันระวังตัว อาจทำให้มีไข้เจ็บคอ และป่วยเป็นต่อมทอนซิลอักเสบได้

ฮิคารุ อูทาดะ (Hikaru Utada) นักร้องแห่งแดนปลาดิบต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการต่อมทอนซิลอักเสบทุก ๆ ปี ปีละครั้งถึงสองครั้ง และทุกครั้งที่ป่วยต้องล้มหมอนนอนเสื่อ แถมยังต้องไปหาหมอทุกวัน เพื่อเอายามาบรรเทาอาการ ต่างจากนักร้องแห่งเมืองผู้ดี วิลล์ ยัง (Will Young) ที่ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก ทั้งที่รู้สึกกังวลว่าการผ่าตัดอาจส่งผลให้เสียงของเขาผิดเพี้ยนไปจากเดิม แต่เมื่อผ่านพ้นไปได้ก็พบว่า การตัดไม่ได้ส่งผลต่ออาชีพที่เขารักแต่อย่างใด

ความรู้สึกกังวลที่ว่านี้ นักร้องสาว ลีโอน่า ลูอิส (Leona Lewis) ผู้ชนะเลิศจากรายการ The X Factor ปี 2006 อาจเข้าใจดี เพราะเธอก็รู้สึกกลัวที่จะผ่าตัดต่อมทอนซิลออกเธอรีรอจนคนใกล้ชิดและหมอบังคับให้เธอผ่าตัด ก่อนที่อะไร ๆ จะเลวร้ายไปกว่านี้ ผิดกับนักแสดงสาว โซเฟีย บุช (Sophia Bush) ที่ยอมเลือกการผ่าตัด เพื่อจะได้ไม่ต้องป่วยกระเสาะกระแสะ และจะได้กลับมาโลดแล่นในวงการมายาได้เหมือนเดิม

ต่อมทอนซิล...สำคัญยังไงเนี่ย

ต่อมนี้เป็นต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่งในร่างกายของเรา ทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคและสร้างภูมิคุ้มกันให้เรา โดยหน้าที่อันหลังนี้จะมีความสำคัญมากกับเด็กวัย 1-10 ขวบ และหลังจากนั้นระบบอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น ไขกระดูก ม้าม ตับ ฯลฯ ก็จะทำหน้าที่ในส่วนนี้แทนต่อมทอนซิล

แล้วมีกี่ต่อม

ต่อมทอนซิลมีทั้งหมด 3 ต่อมด้วยกัน ต่อมที่หนึ่งอยู่ตรงลำคอ ทางการแพทย์เรียกว่า Palatine Tonsils โดยเวลาอ้าปากจะมองเห็นได้ทันทีเลย ส่วนต่อมที่สองอยู่ตรงโคนลิ้น ซึ่งจะมีกลุ่มต่อมน้ำเหลืองเยอะมาก ทางการแพทย์เรียกกลุ่มนี้ว่า Lingual Tonsils และต่อมสุดท้ายจะอยู่ตรงโพรงหลังจมูก ทางการแพทย์เรียกว่า Adenoid อย่างไรก็ดี ด้วยลักษณะโครงสร้างต่อมทอนซิลตรงลำคอของบางคน มีลักษณะพื้นผิวอาจจะเป็นร่องเป็นหลืบที่เชื้อโรคอาจจะไปติดอยู่ในนั้น และทำให้ป่วยเป็นต่อมทอนซิลอักเสบได้ง่ายกว่าคนอื่น

อะไรคือสาเหตุ

สาเหตุเกิดได้จากทั้งเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรียสำหรับแบคทีเรียอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น มีลิ้นหัวใจรั่วจากไข้รูมาติก หรือเกิดโรคไตอักเสบ และอาจเสียชีวิตได้ถ้ารักษาไม่ถูกต้อง หรือรักษาช้าไป ส่วนถ้าเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดต่าง ๆ จะมีอาการเจ็บคอและคออักเสบได้ แต่อาการมักจะไม่รุนแรง

อาการเป็นยังไงบ้าง

คนที่ป่วยเป็นต่อมทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ ร่องหลุมของทอนซิลในลำคอจะลึกมากขึ้น เหมือนคนเป็นแผลเป็น และเมื่อมีร่องหลุมลึกมากขึ้น เชื้อโรคก็จะเจริญเติบโตหรือมีเศษอาหารไปติดได้มากขึ้น ซึ่งทำให้ต่อมทอนซิลมีเชื้อโรคสะสมอยู่ตลอดเวลา บวกกับถ้าคนนั้นร่างกายอ่อนแอเพราะนอนดึก ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เชื้อที่มีอยู่แล้วในต่อมทอนซิลก็อาจจะอักเสบขึ้นมาได้

คนที่มีอาการป่วยแบบเฉียบพลัน จะมีอาการเจ็บคอ มีไข้ และเวลากลืนน้ำลายจะเจ็บร้าวไปที่หูกินอาหารไม่ลง อ่อนเพลีย ในเด็กเล็กมาก ๆ ก็จะร้องไห้แล้วน้ำลายไหลทางมุมปากไม่หยุด และมีไข้ตัวร้อน บางคนเป็นมากหนองจะลุกลามไปรอบ ๆ ต่อมทอนซิล ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณคอตึงตัว ทำให้อ้าปากไม่ขึ้น หมอจึงต้องเจาะหนองออกมา

ดูแลตัวเองได้ไหม หรือต้องไปพบแพทย์เท่านั้น

ถ้าเป็นไม่มาก แค่ติดเชื้อไวรัสอาจจะรอดูอาการสัก 2-3 วัน โดยดื่มน้ำให้มาก ๆ นอนพักผ่อนให้เพียงพอก็จะดีขึ้น แต่ถ้า 2-3 วันแล้วยังไม่ดีขึ้นแสดงว่าติดเชื้อแบคทีเรียเข้าให้แล้ว ดังนั้น ควรต้องได้รับยาฆ่าเชื้อ ซึ่งไม่อยากให้ซื้อกินเอง ควรไปพบแพทย์จะดีกว่า

รักษายังไงดี

ถ้าเป็นเชื้อแบคทีเรียแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ไข้ และยาแก้เจ็บคอ ถ้าหากปล่อยให้เรื้อรังเชื้อโรคอาจเข้าสู่กระแสเลือดทำให้ลิ้นหัวใจอักเสบเกิดโรคหัวใจรูมาติก หรือกรวยไตอักเสบ ฯลฯ ได้ ฉะนั้น ถ้ารอดูสัก 2-3 วันแล้วยังเจ็บคออยู่ ควรรีบมาพบแพทย์ว่าเป็นทอนซิลอักเสบ หรือทอนซิลเป็นหนองหรือเปล่า โดยผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด 4-5 วันแรกแพทย์จะให้กินอาหารเหลวเย็น หลังจากนั้นถ้านัดมาตรวจอีกสัปดาห์หนึ่งแล้วไม่เจ็บแผลมาก แพทย์จะเริ่มให้กินอาหารอ่อน ๆ เหลว ๆ ที่ไม่ร้อน เพราะการกินอาหารร้อนจะทำให้เส้นเลือดจะขยายตัว เกิดเลือดออกหลังการผ่าตัดได้ แต่พอครบสองสัปดาห์ก็จะกินอาหารได้ปกติทุกอย่าง และกลับไปทำงานได้ ซึ่งคนที่แข็งแรงก็อาจจะกลับไปทำงานได้ภายในสัปดาห์แรก

ถ้าผ่าตัดแล้วจะป่วยบ่อยไหม

ต่อมทอนซิลมีความสำคัญสำหรับเรื่องภูมิคุ้มกันในร่างกายของเด็กวัย 1-10 ปี แต่หลังจากนั้นระบบอื่น ๆ ในร่างกายจะทำหน้าที่ป้องกันโรคแทนต่อมทอนซิล ฉะนั้น ถ้าผู้ป่วยมีอาการต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ควรได้รับการผ่าตัด ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักสงสัยว่า ถ้าผ่าตัดแล้วจะป่วยบ่อยขึ้นมั้ย หรือเสียงจะเปลี่ยนไปมั้ย ตรงนี้ขอฟันธงว่าผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังการผ่าตัด และเสียงก็ไม่มีทางเปลี่ยน เพราะต่อมทอนซิลไม่เกี่ยวกับการออกเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น

เพราะอะไรแพทย์ตะวันตกจึงไม่นิยมผ่าตัด

แพทย์ตะวันตกบางรายเท่านั้นที่ไม่นิยมให้มีการผ่าตัด แต่ส่วนใหญ่ที่แพทย์เจอคนไข้ 50% ที่เป็นคนต่างชาติล้วนเคยผ่านการผ่าตัดต่อมทอนซิลมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งในความคิดแพทย์แล้วเห็นว่า ถ้าจำเป็นต้องผ่าตัดจริง ๆ ก็ไม่เสียหายอะไรเพราะการที่ต่อมทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ ก็จะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคไปตลอด ฉะนั้น การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกจะเป็นเรื่องที่ดีมากกว่า

สำหรับเด็กที่ป่วยเป็นต่อมทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ ต่อมทอนซิลที่คอก็จะโต และต่อมทอนซิลที่อยู่ตรงโพรงหลังจมูก (Adenoid) ก็จะโตตามไปด้วยตนขวางระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจไม่สะดวก ในรายที่กรนหรือหยุดหายใจขณะหลับฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) จะหลั่งได้ไม่เต็มที่ ซึ่งทำให้เด็กแคระแกรนได้

ทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ จะพัฒนาเป็นมะเร็งไหม

จากการศึกษาไม่พบว่าการป่วยเป็นทอนซิลอักเสบบ่อย ๆ จะพัฒนาเป็นมะเร็งได้ ในทางกลับกัน คนที่สูบบุหรี่จะพัฒนาเป็นมะเร็งได้ง่าย เช่น มะเร็งในจมูก มะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งในคอ มะเร็งในช่องปาก ไปจนถึงมะเร็งปอด ฯลฯ

อย่างที่บอกว่าต่อมทอนซิลเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ถ้าเมื่อใดที่ต่อมนี้กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคแล้วล่ะก็ การผ่าตัดทิ้งไปก็ไม่เสียหายอะไรหรอกค่ะ

Did You Know?

ระยะหลังมีผู้ใหญ่เข้ามาผ่าตัดทอนซิลด้วยเหตุผลว่ามีกลิ่นปาก อันมีเหตุมาจากมีหนองที่ต่อมทอนซิลเพราะโครงสร้างของต่อมทอนซิลบริเวณลำคอเป็นร่องลึก จึงทำให้มีเศษอาหารตกค้างอยู่ในต่อมทอนซิลนาน ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ชอบสภาพร่องหลืบนั้นเติบโตได้ดี แต่ถ้าผ่าตัดก็แก้ปัญหานี้ได้

Be Careful!

หลังการผ่าตัด 1-2 วันแรก คนไข้อาจจะมีไข้ต่ำ ๆ แต่ถ้าหลังจากนั้นยังมีไข้อยู่ หรือมีไข้สูงตั้งแต่แรก แสดงว่าอาจเกิดการติดเชื้อ หรือขาดน้ำควรรีบไปพบแพทย์ทันที

คำแนะนำจาก นพ.ภาสกร ถาวรนันท์ แพทย์หู คอ จมูก รพ.บีเอ็นเอช

"ทำไมบางคนป่วย แต่บางคนกลับไม่เคยป่วย ก็เพราะโครงสร้างของต่อมทอนซิลในบางคนนั้นอาจมีหลุมเยอะ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้มาก นอกจากนั้น ยังเป็นเรื่องภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนคนนั้นด้วย สมมติว่าเขาพักผ่อนน้อย นอนดึกประจำ และไม่ได้ออกกำลังกายเลย เวลารับเชื้ออะไรมาก็จะป่วยได้ง่ายกว่า คนอื่นที่แข็งแรงกว่าอยู่แล้ว"


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
[ ... ]

Monday, December 14, 2009

เพ้นท์จุก6นางแบบ 'ปฏิทินลีโอ2010' เร่าร้อน เซ็กซี่!!

Pic_52953

เผยโฉม 6 นางแบบ "ปฏิทินลีโอ2010" แล้ว นำโดย อุ้ม-ลักขณา แพม เดอะกิ๊ก ไฮโซครี เรียกเสียงครางฮือ!! ทั้งเซ็กซี่ เร่าร้อน ...

ได้ฤกษ์เผยโฉม 6 นางแบบถ่าย "ปฏิทินลีโอ2010" เรียกเสียงครางฮือ!! ของหนุ่มๆ ได้มากทีเดียว เพราะทั้ง 6 สาวมาในสภาพที่เปลือยกาย เปลือยอก ให้ "เพ้นท์" เป็นเสื้อผ้าอำพรางเรือนร่างแทน ในธีม "Body Paint" นำทีมความเซ็กซี่โดย อุ้ม-ลักขณา, แพม เดอะกิ๊ก, ไฮโซครี-พัสวีพิชญ์, แอนนา รีส นางเอกจากภาพยนตร์เรื่องปืนใหญ่จอมสลัด, มิกซ์ เจนจิรา อดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ และแอม นางแบบชื่อดังแห่งยุค


เมื่อเห็นครั้งแรกต้องบอกเลยว่าเพ้นท์ได้เนียนจริงๆ มองผ่านๆ นึกว่าสวมอาภรณ์ แต่เมื่อซูมเข้าใกล้ๆ กลับเป็นการใช้ศิลปะการเพ้นท์นำเสนอออกมาได้อย่างเซ็กซี่ และเร่าร้อนมากๆ เห็นทีหนุ่มๆ ต้องหาซื้อเก็บไว้ซะแล้ว "ลีโอ" ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ .





ข่าวและภาพจาก ไทยรัฐ
[ ... ]