Monday, September 28, 2009

วิธีป้องกัน ไข้หวัด 2009


protect flu

วิธีป้องกันหวัด 2009 มีดังนี้

- ให้คนป่วยสวมหน้ากาก ป้องกันคนอื่นติดเชื้อได้ถึง 80% แต่คนไม่ป่วยสวมแล้วกันตัวเองติดเชื้อได้แค่ 10%
- พักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยให้ภูมิต้านทานโรคแข็งแรง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้ภูมิต้านทานโรคแข็งแรง
- หลีกเลี่ยงสถานที่คนแออัด
- ให้ยกแขนหรือข้อศอกมาปิดปากเวลาจาม ถ้าใช้มืออาจจะติดเชื้อได้
- ล้างมือสะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร

เน้นให้ล้างมือให้สะอาด ซึ่งมีข้อควรทำดังนี้
- ให้ทำความสะอาดมือ ก่อนรับประทานอาหาร เตรียมหรือปรุงอาหาร
- ให้ทำความสะอาดมือ หลังขับถ่าย หยิบจับสิ่งสกปรกหรือสัมผัสสัตว์เลี้ยงและสัตว์ปีก

ขั้นตอนการล้างมือมีดังนี้
- ฟอกฝ่ามือและง่ามนิ้วมือด้านหน้า 5 ครั้ง โดยเน้นซอกนิ้วมือ
- ฟอกหลังมือและง่ามนิ้วมือด้านหลังข้างละ 5 ครั้ง โดยเน้นซอกนิ้วมือ
- ฟอกนิ้วและข้อนิ้วมือด้านหลังข้างละ 5 ครั้ง
- ฟอกนิ้วหัวแม่มือ ข้างละ 5 ครั้ง
- ฟอกปลายนิ้วมือ เล็บโดยหมุนวนไปบนฝ่ามือข้างละ 5 ครั้ง
- ฟอกรอบข้อมือโดยรอบข้างละ 5 ครั้ง
ควรล้างมือด้วยสบู่เหลวนาน 40-60 วินาที

อยากให้เราได้รู้จักการป้องกันตัวกัน อย่างน้อยก็น่าจะลดความรุนแรงของการระบาดของโรคได้บ้าง

สำหรับตอนนี้คนที่มีเกณฑ์ในการตรวจซึ่งหลักใหญ่ๆน่าจะเหมือนกันทั่วประเทศคือ

1. มีไข้ 38 ํC ขึ้นไปร่วมกับ
2. อาการอย่างใดอย่างหนึ่งได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ, ไอ, หายใจผิด ปกติ (หอบ, ลำบาก), หรือแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม

ร่วมกับ

3. อาศัยอยู่หรือเดินทางมาจากพื้นที่ที่พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ในระยะ 7 วันก่อนวันเริ่มป่วย
4. มีผู้สัมผัสร่วมบ้านหรือในที่ทำงานป่วยสงสัยไข้หวัดใหญ่หรือปอดอักเสบ ภายใน 1 สัปดาห์ก่อนวันเริ่มป่วย


ตอนนี้เข้าใจว่าตัดข้อ 3 ไปแล้วครับ เพราะว่าตอนนี้มันเข้าประเทศไทยเรียบร้อย ดังนั้นอาจจะถือไปก่อนว่าน่าจะเสี่ยงข้อนี้ไปเลย

หากมีเกณฑ์ครบดังนี้ แพทย์จึงจะพิจารณาตรวจ Throat Swab เำพื่อดูว่าเป็นเชื้อนี้หรือไม่
หลัง จากนั้นพิจารณาอาการและความเสี่ยงว่าจำเป็นต้องได้รับยาต้านเชื้อไวรัสหรือ ไม่ (ถึงเป็น 2009 แต่ถ้าอาการเบาๆ ก็ไม่ให้ยาต้านเชื้อไวรัส)

เมื่อนำเอาเกณฑ์เหล่านี้มามองใหม่ ผลที่ได้ก็คือ
- การรักษาหรือพิจารณาให้ยาTamiflu ขึ้นกับอาการ … ต่อให้เป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่มีอาการของปอดบวม ก็จ่ายยาต้านไวรัสและจับนอนโรงพยาบาล
- ถ้าไปรพ.แล้ววัดไข้ได้ 38 ํC มีอาการของหวัดหรือสงสัย และมีอาการปอดบวมหรือหลอดลมอักเสบ ก็จะทำ Throat swab และพิจารณาให้ยาตามสมควร
- ถ้าไปรพ.แล้ววัดไข้ได้ 38 ํC มีอาการของหวัด แต่เป็นแค่คอกับจมูก ไม่มีอาการของปอด ก็มักจะไม่ทำ Throat swab และไม่ต้องให้ยาต้านไวรัส (แต่วันนี้อาจารย์บางท่านบอกว่าก็ทำได้เหมือนกัน)
- ถ้าไม่มีไข้ …. ไม่ให้ยาและไม่ทำ Throat swab

Throat swab คือการตรวจด้วยไม้พันสำลีป้ายที่คอแล้วเอาไปตรวจว่าเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไม่ครับ
แต่ก่อนใช้เวลาวันนึงรู้ผล แต่ตอนนี้มีการตรวจมาก อาจจะสามสี่วันขึ้นไป

ยกตัวอย่าง
- ถ้ามีไข้ต่ำๆตัวรุมๆ เดินไปเดินมาได้สบายดี … ก็จะได้ยาลดไข้ลดน้ำมูกแก้ไอกลับไปกินที่บ้าน
- ถ้าไม่มีไข้ แต่ไปกินข้าวกับคนที่มีเพื่อนเป็นเด็กเซนต์คาเบรียล หมอก็ไม่ตรวจ
- ถ้าไม่มีไข้เลย แต่ไปกินข้าวกับคนที่เป็นเพื่อนกับคนที่ไปเดินผ่านที่หน้าโรงเรียนเซนต์คาเบรียล … อันนี้ก็ไม่ตรวจ
- เป็นภูมิแพ้ กินยาแก้ภูมิแพ้มาปีกว่า … ตอนนี้ไม่มีไข้แต่มีน้ำมูลไหลเหมือนทุกวัน วันนี้อยากตรวจหวัด2009 … อันนี้ก็ไม่ตรวจ
- ไข้สูง38.9 ไอมาก แต่ไม่ได้ไปเจอเด็กนักเรียนที่ไหนเลย … อันนี้ไม่อยากตรวจก็ต้องตรวจ

เน้นย้ำนะครับ เรื่องไข้ตัวร้อน … ถ้าคุณไม่มีไข้เลยแม้แต่น้อยและเดินไปเดินมาได้สบายดี ก็ไม่ต้องไปรพ.หรอกครับ
คน ป่วยหนักๆหลายคนเค้าไม่ยอมใส่หน้ากากอนามัยเพราะว่าเหนื่อย เค้าไอโขลกๆอยู่ … อยู่บ้านดีๆไม่เจอเชื้อ ดันตามมารับเชื้อที่โรงพยาบาลเชียว …

ปกติหมออยู่เวรก็ยุ่งกันมากอยู่แล้ว … ลำพังปกติก็ตรวจกันไม่ทัน
พอ มีคนไข้ที่ให้ประวัติว่าจะเ็ป็น พยาบาลก็ให้ไปรอที่ตึกที่ห่างออกไปอีก400-500เมตร หมอก็ต้องเดินไปซักประวัติ เพื่อจะรู้ว่าจริงๆเป็นแค่ภูมิแพ้ … แล้วต้องมานั่งตอบคำถามว่าทำไมหมอพูดไม่ตรงกับนักข่าวในทีวี เสร็จแล้วเดินกลับมาอีก400-500เมตร เพื่อจะมาฟังพยาบาลบอกอีกว่า “หมอ ส่งอีกคนไปที่ตึกแล้ว หมอเดินไปตรวจหน่อยนะ”

เมื่อวานซืนคุยกับหมอ แผนกเด็กคนหนึ่ง … เค้าบอกว่าเค้าต้องเดินวนไปวนมาเพื่อตรวจคนที่ถูกคัดกรองมาประมาณ 10-20 คน … ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีไข้ -_-’
และหมอคนนี้ต้องอยู่เวร 24 ชั่วโมง …
คิดว่าเมื่อวานนี้เค้าคงต้องเดินราวๆ 7-8 กิโลเมตร วนไปวนมาในโรงพยาบาล -_-’

ดังถ้าไม่มีไข้ อยู่บ้านเถอะครับ -_-’

หรือถ้าคุณไม่แน่ใจว่าควรไปหรือไม่
คำแนะนำที่นำไปใช้ได้จริงคือ … ให้ลองลืมๆไปว่าตอนนี้มีไข้หวัดใหญ่ 2009 ครับ…ดูอาการตนเองเป็นหลัก
ถ้าอาการน้อย แบบที่แต่ก่อนพอเป็นประมาณนี้แล้วก็กินยานอนอยู่บ้าน … ก็ไม่ต้องไป
ถ้าอาการเยอะ แบบที่แต่ก่อนพอเป็ฯประมาณนี้ก็จะไปหาหมอ … ก็ไป

ข้อมูล คุมหมอแมว จากพันทิป

0 comments: